SPCG โชว์Q1/62 กำไรสุทธิ 782.95 ล้านมั่นใจกวาด 7พันล้านตามเป้า 

23 พ.ค. 2562 | 08:20 น.

SPCG โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2562 กำไรสุทธิ 782.95 ล้านบาท มั่นใจปีนี้กวาด 7,000 ล้านบาทได้ตามเป้า ลั่นปีนี้รุกหนักธุรกิจโซลาร์รูฟตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาทจาก 3 กลุ่มหลัก “บ้านพัก-สำนักงาน-โรงงานอุตสาหกรรม” เผยธุรกิจโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นยังเดินหน้าไปตามแผน

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” แถลงผลประกอบการของ SPCG ไตรมาสที่1 ปี 2562 ว่างบการเงินของบริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขาย จำนวน 1,341.60 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจ Solar Farm  83% , ธุรกิจ Solar Roof  12%  และอื่นๆอีก 5%   รายได้ลดลง  12 %  จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากธุรกิจ Solar Roof ที่ลูกค้าชะลอการลงทุน และเกิดการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มมากขึ้น  โดยบริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้มีกำไรสุทธิจำนวน 782.95 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 0.3%  จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้จากปริมาณหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น 5%  จากงวดเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.60 เท่า ซึ่งลดลง6%จากปีก่อน

SPCG โชว์Q1/62 กำไรสุทธิ 782.95 ล้านมั่นใจกวาด 7พันล้านตามเป้า 

อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 7,000 ล้านบาท โดยการเติบโตของ SPCG มาจาก 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์ม จำนวน 36 โครงการรวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70% ของรายได้รวม โดยปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้เติบโต ขึ้นอยู่กับจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ และการรับรู้รายได้จากการลงทุน Solar Farm ขนาด 30เมกะวัตต์ที่ประเทศญี่ปุ่น

ส่วนธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือโซลาร์รูฟ  คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 25% ของรายได้รวมนั้น ในปีนี้บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (บริษัทในเครือของ SPCG) ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้มากกว่า 2,000 ล้านบาทโดยยังคงมุ่งเน้นการเติบโตใน 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มบ้านพักอาศัย (Residential), กลุ่มสำนักงาน อาคาร ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดใหญ่ (Commercial) และกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial)

SPCG โชว์Q1/62 กำไรสุทธิ 782.95 ล้านมั่นใจกวาด 7พันล้านตามเป้า 

“ในปีนี้ กลุ่มลูกค้าที่คาดว่าจะเติบโตเป็นอย่างมาก คือกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย (Residential) เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ปี 2018 ในส่วนของโซลาร์ภาคประชาชนจำนวน 100 เมกะวัตต์  นอกจากจะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าไฟฟ้าในเวลากลางวันได้แล้ว ครัวเรือนที่สามารถผลิตหน่วยไฟฟ้าได้เกินกว่าการใช้งานยังสามารถจำหน่ายให้ภาครัฐได้ด้วย และหากประมาณการติดตั้งให้แต่ละครัวเรือน ครัวเรือนละ 5 kWp สามารถครอบคลุมประชาชนได้ถึงปีละกว่า 20,000 ครัวเรือน ซึ่งเชื่อว่าจะกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวและมีความต้องการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา  หรือ Solar Roof มากขึ้นในปีนี้” 

ดร.วันดีกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท Sakura Solar Limited Liability Company ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งและสัดส่วนการถือหุ้น คือ Kyocera Corporation, Japan (Kyocera) 49% ,Mitsubishi Research Institute, Inc. (MRI) 34%  และ SPCG Public Company Limited (SPCG) 17%

SPCG โชว์Q1/62 กำไรสุทธิ 782.95 ล้านมั่นใจกวาด 7พันล้านตามเป้า 

สำหรับบริษัท Sakura Solar Limited Liability Company  เป็นบริษัทย่อยในประเทศญี่ปุ่น  มีโครงการที่จะดำเนินการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มเริ่มต้น 5 โครงการคือ 1.Kumamoto (1) Ichinomiya ขนาดกำลังการผลิต 1.9 เมกะวัตต์ 2.Kumamoto (1) Mashiki ขนาดกำลังการผลิต 1.5 เมกะวัตต์ 3.Kumamoto Kurumagaeri ขนาดกำลังการผลิต 1.5 เมกะวัตต์ 4.Kumamoto Minamata ขนาดกำลังการผลิต 24 เมกะวัตต์ และ 5.Kyoto Watsuka ขนาดกำลังการผลิต 38 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 66.9 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เงินในการลงทุนประมาณ 235 ล้านบาท โดยมีแผนการลงทุนในปีนี้และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2020-2022

SPCG โชว์Q1/62 กำไรสุทธิ 782.95 ล้านมั่นใจกวาด 7พันล้านตามเป้า