ไมเคิล สต็อดดาร์ท ผู้อำนวยการฝ่าย Digital Media Enterprise อะโดบี เผย แนวโน้มด้านครีเอทีฟของนักการตลาดในปี 2562 จะพบกับพัฒนาการใหม่ ๆ ที่นักการตลาดนำมาใช้เพื่อเสนอประสบการณ์แก่ลูกค้า การพัฒนาเพื่อเข้าถึงประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) และการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ช่วยให้นักการตลาดอิสระและนักการตลาดขององค์กรสามารถสร้างสรรค์
ประสบการณ์เฉพาะบุคคล
ความท้าทายสำคัญที่นักการตลาดต้องเตรียมรับมือ คือ ความรวดเร็วในการผลิตคอนเทนท์รูปแบบใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยต้องสะกดสายตาของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย นักการตลาดและฝ่ายครีเอทีฟต้องผลิตคอนเทนท์และสินทรัพย์ดิจิทัลคุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับการตลาดและประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ สามารถนำเสนอการตลาดแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (one-to-one marketing) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีสำหรับการทำการตลาดที่ก้าวล้ำมากขึ้น ขณะที่ผู้ใช้มีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้นต่อคอนเทนท์แบบเฉพาะบุคคล แบรนด์จะสามารถสื่อสารคอนเทนท์ได้ตรงความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง แต่ทีมงานจะได้รับแรงกดดันมากขึ้นในการผลิตและนำเสนอคอนเทนท์ต่อลูกค้าเช่นกัน ดังนั้น การนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่อออกแบบและสร้างคอนเทนท์ที่จากเดิมเน้นการผลิตคอนเทนท์เพื่อใช้ได้งานได้ครั้งเดียวกับคนเฉพาะกลุ่ม ให้สามารถพลิกแพลงและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบพร้อมทั้งกระจายไปยังลูกค้าเป้าหมายกลุ่มอื่น ๆ
ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์
ขณะที่การออกแบบไม่ใช่การผลิต หรือความสวยงามเท่านั้น แต่ต้องสามารถสื่อสารความสามารถหรือเรื่องราวได้ด้วย ครีเอทีฟควรตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อนำเสนอผลลัพธ์ โดย AI จะกลายเป็นกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนการดำเนินการด้านการออกแบบทั้งหมด AI จะช่วยให้นักการตลาดบริหารจัดการงานที่ยุ่งยากและซับซ้อน AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่การคิดสร้างสรรค์ แต่จะเข้ามาทดแทนกระบวนการผลิตหรืองานโปรดักชั่นที่น่าเบื่อหน่าย AI ปฏิวัติความสามารถในการทำตลาดแบบหนึ่งต่อหนึ่งในลักษณะเรียลไทม์ และด้วยการใช้ความสามารถของ AI ในการผลิตคอนเทนท์สำหรับขอบเขตที่กว้างขวาง ก็จะช่วยให้ประสบการณ์คอนเทนท์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Machine Learning ปัจจุบัน AI สามารถดำเนินการดังกล่าวโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที จากที่ในอดีตเราต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือตลอดชีวิตกันเลยทีเดียวกว่าจะทำได้สำเร็จ
การออกแบบเพื่อรองรับการสั่งงานด้วยเสียง
เครื่องมือที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงหรือ Voice Assistant จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการโต้ตอบกับเทคโนโลยี ในปัจจุบันการสั่งงานด้วยเสียงได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีอุปกรณ์หลากหลายประเภทที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงและเชื่อมต่อกับเครือข่ายวางจำหน่ายในตลาด นอกจากนี้ลำโพงอัจฉริยะกำลังเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ Voice Assistant ก็กลายเป็นวิธีการทั่วไปที่คนรุ่นใหม่ใช้ในการสื่อสารระหว่างคนกับเทคโนโลยี
การออกแบบช่วยสร้างความได้เปรียบ
ทั้งนี้แนวโน้มสำคัญสำหรับปัจจุบันก็คือ บริษัทต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องสร้างความแตกต่างให้กับงานออกแบบของตนเอง ตั้งแต่การออกแบบบริการใหม่ ๆ ไปจนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รายงานเกี่ยวกับมูลค่าทางธุรกิจของงานออกแบบ (The Business Value of Design) ของ McKinsey ระบุว่า ปัจจุบัน บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยการออกแบบสามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนสำหรับผู้ถือหุ้นเพิ่มสูงขึ้นเกือบสองเท่า เมื่อเทียบกับอัตราของบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของประสบการณ์สำหรับลูกค้า เทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความอดทนน้อยลงต่อสินค้า บริการ
อย่างไรก็ตามผลการศึกษาชี้ว่า บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยงานออกแบบมีแนวโน้มราว 69% จะดำเนินงานได้เหนือกว่าเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเหนือกว่าบริษัทอื่นๆ อย่างมากการออกแบบมีความสำคัญต่อผลการดำเนินงาน ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับใช้งานดีไซน์กับส่วนอื่นๆ ของธุรกิจ