วิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ให้ข้อคิดจากความสามารถในการเติบโตของทรัพย์สินมหาเศรษฐีไทยที่เกิดขึ้น นายปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าหากจะเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ของมหาเศรษฐีไทย ต้องเปรียบเทียบกับอัตราการขยายตัวของจีดีพีไทยถ้าสินทรัพย์มหาเศรษฐีโตมากกว่าอัตราเติบโตจีดีพีมาก ก็อาจพอสะท้อนปัญหาการกระจุกตัวของรายได้หรือปัญหาความเหลื่อมลํ้าได้บ้าง ว่าที่ผ่านมาปัญหาการกระจายรายได้รุนแรงขึ้นหรือไม่อย่างไร
“ถ้าดูแต่การเติบโตของสินทรัพย์มหาเศรษฐีแล้วบอกว่าเรามีปัญหาความเหลื่อมลํ้ารุนแรงขึ้น จะกลายเป็นจุดประเด็นการใช้เฮต สปีชกล่าวหากัน ว่าเห็นไหม เป็นเพราะรัฐบาลไม่ดี นโยบายนั้นไม่ดี ทำให้รวยกระจุกจนกระจาย”
นายปิติกล่าวอีกว่า นอกจากนี้แล้วจะเห็นได้ว่าองค์กรธุรกิจไทยเวลานี้ไม่ได้อยู่แต่ในประเทศ แต่ได้ขยายการลงทุนไปทั่วโลก ซีพีไปลงทุนในจีน อินเดีย เวียดนาม ไปทั่วโลก เช่นเดียวกับไทยเบฟ ก็ไปลงทุนทั่วโลกเช่นกัน สะท้อนถึงศักยภาพของธุรกิจไทยที่เติบโตพ้นเขตแดนไปแล้ว เป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุน แสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการที่เขาเติบโตได้แสดงถึงศักยภาพของธุรกิจไทยเองว่ามีขีดความสามารถในการแข่งขันกับโลกได้ ที่ต้องมีทั้งทุน มีเทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ
ส่วนการปรากฏตัวของเศรษฐีจากอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น กลุ่มพลังงาน เนื่องจากในโลกยุคใหม่มีความต้องการใช้พลังงานมาก เป็นธุรกิจที่เติบโตหรือมีศักยภาพที่ไปกับแนวโน้มหรือทิศทางการเปลี่ยนแปลง จะเห็นได้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานทางเลือกที่ราคาถูกลง รวมถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมใหม่
หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,469 วันที่ 12 - 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562