พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถือเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนชาวไทยทุกคนได้หันกลับมาเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี และศิลปะอันงดงาม เพื่อศึกษาสิ่งที่เป็นอารยธรรมได้อย่างเข้าใจถึงรากเหง้า และเมื่อซาบซึ้งแล้วเราทุกคนจะรู้จักหน้าที่ของตนในการพึงปฏิบัติ” หนึ่งมุมคิดจาก “ผศ.ดร.ชัชพล ไชยพร” คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีนัยที่สอดรับกับความเห็นของ “ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง” คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในมุมมองสถาปัตยกรรมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ว่า
“เราจะเห็นความวิจิตรของสถาปัตยกรรมไทย ความฉลาดในการสร้างสถาปัตยกรรมชั่วคราว การใช้สถาปัตยกรรมภายใน อาทิ หมู่พระราชมณเฑียร ทั้งรูปทรงและวัสดุล้วนมีความหมายในแง่ของคติสมมติเทพ ตลอดจนการออกมหาสมาคมก็ต้องใช้สถาปัตยกรรมเหล่านี้เป็นฉากในการปรากฏพระองค์ออกสู่สายตาของราษฎร และสุดท้ายคือการเลียบพระนคร ส่วนนี้ก้าวข้ามของสถาปัตยกรรมไปสู่รูปแบบของผังเมือง โดยทั้งหมดคือการใช้สถาปัตยกรรมในการออกแบบ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้ ซึ่งเป็นหลักและแก่นที่สำคัญของวัฒนธรรมไทย อันสืบเนื่องมาอย่างช้านาน”
โดยทั้ง ๒ ท่านเป็นส่วนสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ผ่านการบรรยายพิเศษชุด “ความรู้เนื่องในโอกาส
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” ณ หอประชุมจุฬาฯ เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในศาสตร์สาขาต่างๆ จากคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากจุฬาฯ
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น พระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้ เป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่งที่ประชาชนชาวไทยจะร่วมกันเข้าเฝ้าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคและเสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ซึ่งในแต่ละขั้นตอนล้วนมีความหมายลึกซึ้ง มีความสง่างามและควรค่าแก่การเรียนรู้ ศึกษา เพื่อตระหนักถึงคุณค่า ความงดงามและประวัติศาสตร์ของชาติไทย
สถาปัตยกรรม อันเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ผศ.ดร.พีรศรี โพวาทอง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เผยถึง สถาปัตยกรรมอันเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้อย่างน่าสนใจว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นเรื่องที่อยู่ในวัฒนธรรม จารีต ประเพณีของไทยมาอย่างช้านาน อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามยุคสมัย แต่สาระสำคัญยังคงอยู่ ซึ่งทั้งหมดยึดโยงอยู่ในรูปแบบการปกครองของกษัตริย์ โดยคติความเชื่อเรื่องสมมติเทพ หรือการยกเอาประมุขของแผ่นดินเป็นดั่งเทวราชา ซึ่งเชื่อมโยงอยู่ในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้มาอย่างยาวนาน โดยทั้งหมดนี้มีการทำรูปจำลองออกมาตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิที่ว่า จักรวาลแบ่งออกเป็นชั้นๆ เช่น สวรรค์ โลกมนุษย์และนรก ซึ่งมีพระจักรพรรดิราชเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุที่อยู่แกนกลาง โดยถ่ายทอดออกมาผ่านงานสถาปัตยกรรม เช่น พระแท่นราชบัลลังก์ ซึ่งประดับประดาด้วยต้นไม้ทองต้นไม้เงินและสัตว์ในป่าหิมพานต์
ผศ.ดร.พีรศรี เผยต่ออีกว่า ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีการแสดงออกถึงสถาปัตยกรรมอันงดงามซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิพยภาวะของพระมหากษัตริย์ โดยสถานที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในครั้งนี้ประชาชนทุกคนจะได้เห็นความงดงามและวิจิตรศิลป์ของสถาปัตยกรรมไทยแต่โบราณ ครั้งเริ่มก่อตั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ อาทิ หมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง และอื่นๆที่น่าสนใจ ดังนี้
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการสร้างสถาปัตยกรรมชั่วคราวอย่างพระมณฑปกระยาสนานซึ่งใช้สีขาวและสีทองมีความหมายพิเศษในแง่ของการชำระพระวรกาย โดยมณฑปพระกระยาสนานเป็นสถานที่สรงพระมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สร้างขึ้นที่ชานกลางแจ้งระหว่างพระที่นั่งไพศาลทักษิณกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ซึ่งมีลักษณะเป็นมณฑปหุ้มผ้าขาวแต่งด้วยเครื่องทองคำ ผูกพระวิสูตรที่มุมเสาทั้ง ๔ เพดานมณฑปดาดผ้าขาว มีสหัสธาราสำหรับไขนํ้าพระมุรธาภิเษกจากบนเพดานให้โปรยลงยังที่สรง ภายในมณฑปตั้งตั่งอุทุมพรหุ้มผ้าขาวบนถาดทองรองนํ้าสรง
ซึ่งในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เจ้าพนักงานจะตั้งถาดสรงพระพักตร์ มีเครื่องพระมุรธาภิเษก และวางใบไม้กาลกิณีสำหรับทรงเหยียบ ใกล้กับมณฑปพระกระยาสนานมีบุษบกน้อยสำหรับประดิษฐานพระชัยนวโลหะทางทิศตะวันออกและประดิษฐานพระมหาพิฆเนศทางทิศตะวันตก ที่มุมฐานมณฑปทั้ง ๔ มุม ตั้งศาลจตุโลกบาลสำหรับบูชาพระฤกษ์
ถัดจากสถาปัตยกรรมภายนอกคือสถาปัตยกรรมภายในอย่าง หมู่พระมหามณเฑียร ซึ่งตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังหรือกลุ่มพระที่นั่งหลังคาทรงจั่วสร้างเชื่อมพระที่นั่งประธาน ๓ หลังประกอบด้วย พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัยสร้างขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ ๑ เพื่อใช้เป็นที่ประทับและออกว่าราชการ โดยตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา ได้ถูกใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่ละพระที่นั่งนอกจากตั้งชื่อให้คล้องจ้องอย่างงดงาม ยังมีความหมายที่สื่อถึงนัยต่างๆ เช่น
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน หมายถึง ที่ประทับของพระมหาจักรพรรดิราชเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ หมายถึง ผู้ยิ่งใหญ่ทางใต้ ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้อยู่ทางทิศใต้ของพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย โดยหากเทียบดูจากคติความเชื่อเกี่ยวกับไตรภูมิโลกสัณฐาน จะพบว่าทิศใต้เป็นทิศที่สำคัญ เนื่องจากทิศใต้ของเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของชมพูทวีป ซึ่งมีความสำคัญที่สุดเพราะเป็นทวีปสถานที่เกิดของพระพุทธเจ้าและพระจักรพรรดิราช ดังนั้นพระที่นั่งแห่งนี้จึงสำคัญต่อพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ส่วนพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย คือ ที่ออกว่าราชการของพระมหากษัตริย์เพื่อให้ข้าราชการเข้าเฝ้าฯ
อย่างไรก็ดีภายในพระที่นั่งไพศาลทักษิณมีจิตรกรรมฝาผนังเหนือช่องพระบัญชรและช่องพระทวารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องพระอินทร์และสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคติความเชื่อประการหนึ่งที่ว่าพระมหากษัตริย์เปรียบประดุจดังองค์อมรินทร์ ผนังระหว่างช่องพระบัญชรเขียนภาพเทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ พระแม่โพสพ พระพลเทพ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนคติความเชื่อเรื่องสมมติเทพและความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักร
ภายในพระที่นั่งยังประดิษฐานสิ่งสำคัญหลายประการ โดยตอนกลางของพระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นที่ประดิษฐานพระวิมานพระสยามเทวาธิราชด้านตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นที่ประดิษฐานพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ กางกั้นด้วยพระบวรเศวตฉัตรหรือฉัตรขาว ๗ ชั้น ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระที่นั่งสำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ เพื่อทรงรับนํ้าอภิเษกจากพระมหาราชครูและมุขอำมาตย์ผู้ใหญ่ทั้งแปดทิศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทรงรับการถวายพระราชอำนาจในการปกครองแผ่นดินจากทั่วทั้งแปดทิศ
ส่วนด้านตะวันตกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณประดิษฐานพระที่นั่งภัทรบิฐ ซึ่งมีความหมายว่าเป็นที่ประทับอันเป็นมงคลของพระมหากษัตริย์ มีพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรหรือฉัตรสีขาว ๙ ชั้นกางกั้นเหนือพระที่นั่ง พระที่นั่งภัทรบิฐเป็นพระราชบัลลังก์ที่พระมหากษัตริย์ประทับ เพื่อทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสุพรรณบัฏ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ พระแสงอัษฎาวุธ และเครื่องบรมราชูปโภคในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันเป็นเครื่องแสดงว่าทรงรับเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรสยามโดยสมบูรณ์
มนต์และมนตร์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ด้านผศ.ดร.ชัชพล ไชยพร คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เผยถึงมนต์และมนตร์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ได้อย่างน่าสนใจว่า อดีตประเทศไทยก่อนได้รับอิทธิพลจากอินเดีย มีการนับถือผีสาง เทวดา สะท้อนผ่านความเชื่อต่างๆ เช่น การให้คนร้ายเดินบนถ่านไฟร้อน ซึ่งหากไม่ถูกไฟลวกแปลว่าผู้นั้นบริสุทธิ์ มีเทวดาปกปักษ์รักษา จนกระทั่งต่อมาได้รับอิทธิพลในพระพุทธศาสนา
มนต์ ใช้กับคำทางพระพุทธศาสนา หมายถึง คำสาธยายพระพุทธวจนะ สำหรับ มนตร์ ใช้ในทางพราหมณ์ หมายถึง คำเสกเป่าที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้ จะเริ่มต้นจากการจุดเทียนชัย โดยการจุดเทียนชัยในครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่จะมีข้าราชบริพารจุดเทียนและนำถวายฯแก่พระมหากษัตริย์ แต่ในพระราชพิธี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่จะอภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ จะทรงจุดเทียนชัยด้วยพระองค์เอง
สำหรับบทสวดที่จะใช้ในพระราชพิธี มีใจความสำคัญในการอัญเชิญเหล่าเทวดาและเทพทั้งหลายเข้าร่วมพิธี รวมทั้งปัดเป่าภยันตราย ซึ่งใจความสำคัญของบทสวดกล่าวถึงความเมตตา
อาทิ บทกรณียเมตตสูตรขณะที่อีกหนึ่งหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ตามความเชื่อโบราณ คือ เป็นผู้ปกปักษ์รักษาแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล ดังนั้น ในบทสวดหลายๆ บทต่อมาจึงมีการพูดถึงการทำให้ประชาชนมีอาหารกิน อยู่ดีมีสุข ด้านบทสวดที่สำคัญในการพระราชพิธีในครั้งนี้มีทั้ง อนุสสรณปาฐะ โพชฌงคปริตรและสุขาภิยาจนคาถา รวมถึงการสวดภาณวารและสวดชัยมงคลคาถา
ดนตรีในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เครื่องดนตรีในพระราชพิธีสื่อถึงพระราชอิสริยยศ” เสียงดนตรีก็เป็นหนึ่งสิ่งที่เข้ามามีส่วนสำคัญในพระราชพิธีต่างๆ ผศ.ดร.ภัทระ คมขำ อาจารย์ จากจุฬาฯ ระบุว่า ในอดีตพิธีต่างๆ ของพราหมณ์และฮินดูจะสมบูรณ์มิได้หากขาดดนตรีเข้ามาประกอบ และประเทศไทยก็ได้นำเอาวัฒนธรรมเหล่านี้เข้ามา
หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ พยุหยาตราทางสถลมารค เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร คือดนตรีในริ้วขบวน ที่มีความสำคัญและความหมายที่ยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ โดยหนึ่งในเครื่องดนตรีที่สำคัญ คือ กลองมโหระทึก โดยมีการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณปรากฏในสมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งในราชสำนักมีทั้งหมด ๔ ตัว และถูกเก็บรักษาไว้เพื่อให้คงไว้ซึ่งเสียงเดิม โดยความหมายของกลองนั้นสื่อถึงเสียงของ ฝน, ฟ้าร้อง และนํ้าตก ซึ่งมีความเชื่อว่าเมื่อ กลองมโหระทึกนี้ถูกตีแล้วจะทำให้ประเทศเกิดความอุดมสมบูรณ์ และจะใช้ในพระราชพิธีที่พระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาเท่านั้น
ทั้งนี้นอกจากกลองมโหระทึกยังมีเครื่องดนตรีชนิดอื่น เช่น แตรฝรั่ง สื่อความหมายถึงเสียงร้องของช้างเจ้าป่า แตรงอน สื่อถึงความเด็ดเดี่ยวและอุดมสมบูรณ์ของป่า และสังข์ หมายถึง เสียงของสวรรค์ และฆ้องชัย มีความหมายว่า โชคดีมีชัย
อย่างไรก็ดี นอกจากการบรรยายพิเศษแล้ว ยังมีการจัดนิทรรศการเรื่อง “จุฬาฯ ประณตทศมหาราช” ที่หอประชุมจุฬาฯ และจะนำไปจัดแสดงที่ศาลาพระเกี้ยว ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน - ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. โดยเป็นเนื้อหาในนิทรรศการเป็นการนำเสนอพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกถือเป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์สำคัญของชาติและประชาชนชาวไทยที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดี รวมถึงได้เห็นความงดงาม วิจิตรศิลป์ของศิลปะ สถาปัตยกรรม ดนตรีที่ร้อยเรียงออกมาอย่างมีแบบแผนตามหลักราชประเพณีที่ถูกต้องควรค่าแก่การเรียนรู้และสืบสานต่อไปอย่างภาคภูมิใจ