ชี้ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นโตต่อเนื่อง เผยตัวเลขทะลุหลัก 3,000 ร้าน มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท พบผู้ประกอบการหน้าใหม่แห่ผุดสาขาต่างจังหวัด คาดเช็กเมนต์บุ๊ฟเฟ่ต์แข่งดุทำตลาดอิ่มตัว ขณะที่ “ข้าวแกงกะหรี่” คู่แข่งน้อย โอกาสเติบโตสูง “เถ้าแก่น้อย” คว้ามาสเตอร์แฟรนไชส์แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น “ฮิโนยะ เคอรี่” ปักหมุดในไทย
การเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ทำให้จากมูลค่าตลาดหลักพันล้านบาท พุ่งสูงขึ้นเป็นกว่า 2.2 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา และแม้ภาพรวมของอุตสาหกรรมจะมีการเติบโต 15% แต่กลับถูกมองว่าอยู่ในโซนเรดโอเชียน ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง และการเกิดใหม่จำนวนมาก ทำให้คาดว่าธุรกิจอาหารญี่ปุ่นจะก้าวเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวในเร็วๆ นี้
จากข้อมูลขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ ที่ทำการสำรวจในปี 2561 พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านอาหารญี่ปุ่นกว่า 3,000 ร้าน เพิ่มขึ้น 8.3% สูงสุดในรอบ 10ปี โดยร้านที่เกิดใหม่มากที่สุดคือ ร้านข้าวปั้นซูชิ เติบโตเพิ่มขึ้น 79% ร้านอาหารสไตล์ดงบุรี(ข้าวหน้าต่างๆ) เติบโต 20%และร้านอาหารประเภททอด 14% ส่วนใหญ่เป็นร้านใหม่ที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด ส่งให้ร้านอาหารญี่ปุ่นในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 24% ขณะที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ลดลง 1.2% ซึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันที่สูง
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด ผู้บริหารสิทธิ์หรือมาสเตอร์แฟรนไชส์ร้านข้าวแกงกะหรี่ “ฮิโนยะ” (Hinoya Curry) ในประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การขยายตัวอย่างรวดเร็วในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมาทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะก้าวสู่ภาวะอิ่มตัว แต่ในบางเซ็กเมนต์เท่านั้น เช่น บุ๊ฟเฟ่ต์ ฯลฯ ขณะที่ในอีกหลายเซ็กเมนต์ ยังคงมีการเติบโต และบางเช็กเมนต์เริ่มอยู่ในภาวะเติบโต เช่น ข้าวแกงกะหรี่ เป็นต้น
ทั้งนี้จากการศึกษาตลาดพบว่า วันนี้ร้านข้าวแกงกะหรี่มีการแข่งขันที่ไม่รุนแรงจากผู้ประกอบการที่น้อยรายแต่คนไทยกลับชื่นชอบบริโภคข้าวแกงกะหรี่มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ทำให้ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งจากการทดลองเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า ได้รับการตอบรับดีเกินคาด เห็นได้จากยอดขายที่สูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ 200%
“แต่มีร้านข้าวแกงกะหรี่เปิดให้บริการน้อยราย มีเพียงแบรนด์โคโค่อิฉิบันยะทำตลาดเป็นหลัก นอกนั้นเป็นรายย่อย ขณะที่ผู้บริโภคนิยมข้าวแกงกะหรี่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่ไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น ทำให้มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจและการสร้างตลาดข้าวแกงกะหรี่ให้เติบโตขึ้น สอดรับกับนโยบายของบริษัทที่ต้องการสานต่อแนวคิด“ฟู้ดอินโนเวชั่น” จึงเสนอแนวคิดในการนำร้านข้าวแกงกะหรี่ ‘ฮิโนยะ’เข้ามาเปิดให้บริการในเมืองไทย”
อย่างไรก็ดี วันนี้จะเห็นว่าธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีทั้งแบบที่เปิดเป็นเชนสโตร์ และร้านสแตนด์อะโลน ซึ่งแต่ละรูปแบบมีข้อได้เปรียบ เสียเปรียบที่แตกต่างกัน ขณะที่การนำเข้าแบรนด์จากญี่ปุ่นเข้ามาเปิดในเมืองไทย เพราะแบรนด์ฮิโนยะ เป็นแบรนด์ที่คนญี่ปุ่นนิยม และคนไทยเองก็คุ้นเคย การสร้างแบรนด์จึงไม่ใช่เรื่องยาก อีกปัจจัยสำคัญคือ รสชาติและคุณภาพ ซึ่งฮิโนยะมีครบ และมีความหลากหลายจากท็อปปิ้งให้เลือกเกือบ 30 รายการ และมีรูปแบบทั้งขนาด S M และ L ซึ่งเหมาะกับคนไทย
“ร้านฮิโนยะ สาขาแรก เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก มีพื้นที่ราว 80 ตารางเมตร รองรับลูกค้าได้ 45 ที่นั่ง ใช้งบลงทุนราว 4-5 ล้านบาท ภายในร้านมีเมนูข้าวแกงกะหรี่หน้าต่างๆ ให้เลือกเกือบ 30 รายการ และมีแผนจะเปิดเมนูใหม่อีก7เมนูและมีเมนูสำหรับที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ ทำให้มีความหลากหลายที่ลงตัวและเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทย และอนาคตจะขยายบริการในรูปแบบรับประทานในร้าน (Dine in) บริการนำกลับบ้าน (Take Aways)และบริการส่งถึงบ้าน (Delivery) ตามเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของคนไทยด้วย และบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขยายตลาดร้านฮิโนยะเคอรี่ ในภูมิภาคเอเชียซึ่งเถ้าแก่น้อยมีศักยภาพสูงในการทำตลาดทั่วโลกต่อยอดจากศักยภาพธุรกิจเถ้าแก่น้อย ที่มีการทำตลาดสาหร่ายทั่วโลก”
หน้า 30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3467 ระหว่างวันที่ 5-8 พฤษภาคม 2562