ชาโมกข์ เดินหน้าขยายตลาดสร้างรายได้ทั้งในและต่างประเทศ เผยเตรียมนำผลิตภัณฑ์วางขายในร้านสพาร์ พร้อมสร้างแบรนด์ใหม่บุกตลาดยุโรป อเมริกา และฮ่องกง ชูจุดเด่นความเป็นออร์แกนิก เชื่อรายได้ปีนี้โต 10% จากปีที่ผ่านมา
นางสาวปราณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท ชาโมกข์ จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในรูปแบบออร์แกนิก เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กลยุทธ์ในการขยายตลาดเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทปีนี้จะดำเนินการทั้งตลาดในประเทศ ซึ่งบริษัทจะนำผลิต ภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลเส้นผมทั้งในรูปแบบแชมพู และยาบำรุงเส้นผม หรือแฮร์โทนิก (Hair tonic) ภายใต้แบรนด์ “ไท่ม์ ไท่ม์” เข้าวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อสพาร์ (SPAR) ภายในปั๊มนํ้ามันบางจากทั่วประเทศ โดยขั้นตอนปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาทางธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้ในเดือนพฤษภาคม 62
ด้านตลาดต่างประเทศปีนี้บริษัทจะดำเนินการขยายตลาดไปยังประเทศในแถบยุโรป, สหรัฐ อเมริกา, ฮ่องกง และจีน-ฮ่องกง โดยจะสร้างแบรนด์ขึ้นมาอีกแบรนด์หนึ่งชื่อ “โอริษ์ษา” (OREESA) เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถจดจำได้ง่ายสำหรับผู้บริโภค และสร้างความแตกต่างจากแบรนด์ “ไท่ม์ ไท่ม์” (TAI TAI) ซึ่งบริษัทส่งผลิตภัณฑ์ทั้งแชมพู และแฮร์โทนิกไปทำตลาดอยู่แล้วที่ประเทศจีน อาทิ เมืองเจิ้งโจว, กวางโจว, หนานหนิง และที่เมืองฮาร์บิน โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และชื่อแบรนด์ค่อนข้างเป็นที่รู้จักแล้ว
สำหรับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ภายใต้การผลิตของบริษัทนั้น อยู่ที่การเป็นสมุนไพรในรูปแบบของออร์แกนิก รวมถึงมีผลการวิจัยรับรอง และการทดสอบผลข้างเคียงโดยสถาบันโรคผิวหนัง โดยมีข้าวเหนียวดำ ซึ่งมีสารแอนไทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยสามารถนำมาใช้ได้กับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมและผลิตภัณฑ์ในการบำรุงหน้า
โดยบริษัทได้มีการจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับข้าวเหนียวดำไว้เรียบร้อยแล้ว
“ปัจจุบันนอกจากบริษัทจะมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการบำรุงหน้าด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำให้หน้าขาว ผลิตภัณฑ์แบบทูอินวันทั้งหน้าขาว และหน้าเด้ง และสบู่ที่ช่วยทำให้หน้าขาว เป็นต้น ทั้งนี้เดิมทีบริษัทจะใช้สมุนไพรมะหาดเป็นวัตถุดิบหลักในการทำผลิตภัณฑ์ แต่ครั้งหนึ่งเมื่อได้มีโอกาสไปออกงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ ได้มีการแสดงความคิดเห็นถึงการทำลายธรรมชาติด้วยการตัดต้นมะหาด ดังนั้นบริษัทจึงกลับมาทบทวน และได้พบกับปราชญ์ชาวบ้าน และตำรับยาโบราณ ซึ่งบ่งบอกถึงสรรพคุณของข้าวเหนียวดำ”
หลังจากนั้นบริษัทจึงได้ทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) สูตรร่วมกับวิชาภาคเทคโนโลยีชีวภาพ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จนได้สูตรที่สามารถใช้งานได้เห็นผลจริง และทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่าย โดยมีข้าวเหนียวดำเป็นวัตถุดิบหลักแทนมะหาด
นางสาวปราณี กล่าวต่อไปอีกว่า จากกลยุทธ์ในการทำธุรกิจดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถทำให้รายได้ของบริษัทปีนี้เติบโตได้ที่ระดับ 10% จากปีที่ผ่านมา โดยมองว่าจะมาจากการจำหน่ายในต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากตลาดยังมีโอกาสให้ขยายได้อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนในประเทศปัจจุบันเศรษฐกิจค่อนข้างจะชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภคไม่ค่อยกล้าจับจ่ายใช้สอย ซึ่งส่งผลต่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์พอสมควร
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,466 วันที่ 2-4 พฤษภาคม 2562