กรมวิชาการเผยคิกออฟแจกโควตา 182 ราย จำกัดนำเข้า 3 สารเคมีอันตรายมาตั้งแต่ปี 2561 คุมเข้ม ห้ามสั่งเกินยอดขาย สกัดเก็งกำไร บิ๊กยางผวาของเถื่อนทะลักซื้อขายตลาดมืด จับตาเกษตรกร 1.5 ล้านคนอบรมไม่ทันทำป่วน! ไม่มีสิทธิ์ซื้อ “ไทยแพน” ให้ยึดมติแบนนำเข้าสิ้นปี 2562
จากประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้ง 5 ฉบับเกี่ยวกับการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิดได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2562 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันหลังวันประกาศ แต่กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการแผนปฏิบัติการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดมาก่อนแล้วนั้น
นายศรัณย์ วัธนธาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากนโยบายของนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้จำกัด/ควบคุมการนำเข้า 3 สารเคมี ข้างต้นตั้งแต่ปี 2561 (กราฟิกประกอบ) โดยผู้นำเข้า 182 รายจะสั่งมาเก็งกำไรล่วงหน้าไม่ได้ หรือสั่งเกินกว่ายอดที่ขายได้ภายในประเทศก็ไม่ได้ และมาตรการจะเข้มข้นมากขึ้นหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว
นายศรัณย์ วัธนธาดา
ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรได้เริ่มอบรมวิทยากรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตร 240 คน และเจ้าหน้าที่จากกรมส่งเสริมการเกษตร การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)สำนักงานอ้อยและนํ้าตาลทราย จำนวน 2,000 คน เพื่อสร้างวิทยากรไปให้ความรู้แก่เกษตรกร จำนวน 1.5 ล้านคนในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน และสำหรับผู้รับจ้างพ่น 5 หมื่นคน จะจัดอบรมระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2562 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตรส่วนพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล 7.99 หมื่นคนจะใช้วิธีการประชุมแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คาดจะเสร็จทันในระยะก่อนกฎหมายบังคับใช้
นายศรัณย์ กล่าวอีกว่า เมื่อกฎหมายบังคับใช้แล้ว คนซื้อ คนขาย จะเชื่อมกันด้วยระบบออนไลน์ทั้งหมด โดยพื้นที่การใช้จะเป็นไปตามข้อมูลทะเบียนของเกษตรกร จำนวนไร่ อัตราการใช้สาร จะมีสูตรคำนวณแล้วไม่สามารถที่จะซื้อเกินกว่าจำนวนพื้นที่ได้ โดยในส่วนของพาราควอตและไกลโฟเซตจะมีสินค้า 6 ชนิดที่ควบคุม ได้แก่ อ้อย ยางพารา ปาล์มนํ้ามัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผล ส่วนคลอร์ไพริฟอส ให้ใช้เฉพาะกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผล
“หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้เกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดต้องแสดงหลักฐานว่าได้ผ่านการอบรม ชนิดพืชที่ปลูก จำนวนพื้นที่ปลูกเพื่อกำหนดปริมาณสารเคมีที่จะซื้อไปให้มีความเหมาะสมกับความต้องการใช้ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะซื้อ เช่นเดียวกับผู้นำเข้า เมื่อนำเข้ามาแล้วจะต้องแจ้งปริมาณที่นำเข้า กระจายไปร้านใดบ้าง จำนวนเท่าไร ขายให้ใคร จะเชื่อมออนไลน์ทั้งหมด
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) กรรมการในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสารเคมีป้องกันและจำกัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง กล่าวว่า การจำกัดการนำเข้าจะยิ่งทำให้สถาน การณ์เลวร้ายลง จะมีของเถื่อนลักลอบหนีภาษีเข้ามา มีการซื้อขายในตลาดมืดเพิ่มขึ้นแล้วนำไปใช้ไม่มีการควบคุมจะหนักยิ่งกว่าเดิมอีก อย่างชาวสวนยางจะไปนั่งถางหญ้าเป็นไปไม่ได้ เพราะค่าแรงแพง ต้องใช้สารเคมี
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์
เช่นเดียวกับนายปราโมทย์ ติรไพรวงศ์ นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร กล่าวว่า เป็นห่วงเกษตรกรจะทำได้หรือไม่ เพราะจำนวน 1.5 ล้านคนที่จะต้องมีใบรับรองผ่านการอบรมเกรงว่าจะไม่ทัน หากกฎหมายบังคับใช้หวั่นจะวุ่นวาย และเกิดผลเสียหายกับเกษตรกร เพราะฤดูกาลผลิตเริ่มแล้ว
นายปราโมทย์ ติรไพรวงศ์
ด้านนางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ไทยแพน) กล่าวว่า มติกระทรวงสาธารณสุขควรจะยกเลิกนำเข้า 3 สารเคมีในสิ้นปี 2562 แต่สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ อ้างว่าจะยกเลิกในเงื่อนไขคือเร่งรัดขยายพื้นที่การทำเกษตรปลอดภัยตามมาตรฐาน GAP และ/หรือเกษตรอินทรีย์ให้ครบ 149 ล้านไร่ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นแค่วาทกรรมไม่เกิดขึ้นได้จริง
นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,465 วันที่ 28 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2562
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
● แฉเบื้องหลัง!จำกัดการใช้ 'สารเคมี' ก.เกษตรฯ
● ราชกิจจาฯ ประกาศ!!จำกัดใช้ 3 สารเคมีเกษตร
● จุดจบ! 3 สารเคมีพิษสิ้นแผ่นดินไทย
● มิ.ย.นี้กดปุ่มขึ้นทะเบียนผวาเกษตรกรไม่มีสิทธิ์ซื้อ 3 สารเคมี
● จี้!เกษตรกรขึ้นทะเบียนอบรมก่อนถึงจะมีสิทธิ์ซื้อสารเคมี
● ไขปม? ทำไม ‘เกษตรฯ ยังไม่แบน 3 สารเคมีเกษตร