ลุ้น!!!เคาะค่าแรงขั้นต่ำพ.ค.นี้ ตัดหน้าคำสัญญาพรรคการเมือง
วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 เป็นวันแรงงาน เป็นวันที่บรรดาหนุ่ม-สาวโรงงานต่างมีความหวังว่าจะเป็นอีกปีที่มีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่จนถึงวันนี้ การพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ยังไม่ประกาศใช้ ว่ากันว่าค่าจ้างขั้นต่ำคณะกรรมการค่าจ้างกลางที่มี “นายจรินทร์ จักกะพาก” ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน นั่งหัวโต๊ะประชุมกันมาแล้วหลายตลบ และก็ถูกตีกลับให้มาพิจารณาใหม่ และมีการเลื่อนประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี2562 กันมาแล้วถึง 3 ครั้ง ก็ยังไม่สามารถเคาะตัวเลขได้
ตามขั้นตอน ถึงเวลานี้ ตามจริงแล้วคณะกรรมการค่าจ้างกลางจะต้องมีมติออกมาแล้ว และพร้อมชงให้ครม.เพื่อรับทราบ แต่ล่าสุดคณะกรรมการค่าจ้างซึ่งประกอบด้วยผู้แทน 3 ฝ่ายคือภาครัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง สั่งให้ทางจังหวัดกลับไปทบทวนใหม่อีกครั้ง
การพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา มีการเคาะตัวเลขเบื้องต้นออกมาแล้วผ่านการเห็นชอบจากไตรภาคีแล้ว โดยแต่ละจังหวัดส่งมายังส่วนกลางพบว่าราว 46 จังหวัดพร้อมใจไม่ขอปรับขึ้นค่าแรง โดยให้เหตุผลว่า การค้าและเศรษฐกิจในจังหวัดไม่ดี แต่ในส่วนนี้ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าอนุกรรมการค่าจ้างของ 46 จังหวัดนั้น ไม่แน่ใจว่าฝ่ายลูกจ้างมีสหภาพแรงงานหรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่ทำให้ส่วนกลางไม่เห็นด้วย เพราะการปรับค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ ต้องการปรับค่าแรงให้ลูกจ้าง ส่วนจังหวัดที่ขอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีตัวเลขตั้งแต่ 2-10 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่ที่สภาวะเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดที่ไม่เท่าเทียมกัน
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการค่าจ้างกลางพิจารณาและหารือถึงการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2562 ที่จะขอปรับขึ้นตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ แต่ที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามที่อนุวิชาการกลั่นกรองเสนอมาโดยที่ประชุมบอร์ดค่าจ้างได้ให้คณะอนุกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด จำนวน 46 จังหวัด ที่ไม่ได้เสนอตัวเลขการขอปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกลับไปพิจารณา ทบทวนใหม่ และส่งตัวเลขที่จะขอปรับขึ้นค่าจ้างกลับมาที่อนุวิชาการกลั่นกรอง เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสม และเสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้างกลางต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มว่า 46 จังหวัดน่าจะได้ปรับขึ้นด้วยในอัตรา 2 บาทต่อวัน
-ลูกจ้างหวังจบได้ในรัฐบาลนี้
นายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า ในนามคณะกรรมการสมานฉันท์ขอให้ปรับค่าแรงงานเท่าเทียมกันทั่วประเทศเป็น 360 บาทต่อวัน จากที่ปัจจุบันมีอัตราค่าแรงตั้งแต่ 308-330 บาทต่อวันแล้วแต่จังหวัด แต่จากการประชุมที่ผ่านมาหลายนัด ปี2562 คาดว่าค่าแรงจะปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2-10 บาทต่อวัน และคาดว่าคณะกรรมการค่าจ้างกลางจะมีการประชุมอีกครั้งภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และหวังว่าน่าจะจบได้ไม่เกินมิถุนายนนี้หรือในรัฐบาลนี้
“ข้อเรียกร้องต่างๆที่เคยส่งผ่านไปยังรัฐบาลเมื่อปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร พรรคการเมืองใดก็ตาม หากได้มาจัดตั้งเป็นรัฐบาลก็ต้องปฎิบัติให้ได้ เนื่องจากเป็นประเด็นที่ภาคแรงงานรอคอยอยู่ เพราะก่อนหน้านี้พรรคการเมืองใหญ่ทุกพรรคต่างงัดนโยบายปรับขึ้นค่าแรงออกมาหาเสียง”
ฟังเสียงสะท้อนจากนายจ้าง
“ฐานเศรษฐกิจ”สำรวจปฎิกิริยาจากภาคเอกชนในฐานะนายจ้าง ต่างสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมที่จะมาแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ในท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าระหว่างประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างจีนกับอเมริกา และเป็น 2 ประเทศที่ไทยต้องพึ่งพาการส่งออก อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า รวมถึงปีนี้เป็นปีที่มีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจะชะลอตัว เช่นเดียวกับบรรยากาศกำลังซื้อภายในประเทศชะลอตัวในช่วงที่การเมืองยังไม่ชัดเจน หากมีการปรับขึ้นค่าแรงในช่วงนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้หากเกิดขึ้นจะส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกแตะเบรก ซึ่งขณะนี้หลายสำนักด้านเศรษฐกิจก็ออกมาประกาศปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออกกันแล้ว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงงานจะต้องขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ เศรษฐกิจจะต้องดี และอัตราเงินเฟ้อจะต้องสูง แต่ขณะนี้จะเห็นว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ส่งผลให้การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตลดลง ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศก็มีแนวโน้มชะลอตัว ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงจะต้องระวังและเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีที่มีอยู่จำนวนมาก ดังนั้นถ้าเงินเฟ้อต่ำ และภาพรวมทางเศรษฐกิจไม่ดีก็ไม่ควรปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในตอนนี้และควรชะลอเรื่องนี้ไปก่อน
ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย และรองประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ กล่าวว่า เวลานี้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะต้องเข้าใจ ซึ่งทั้งเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจภายในประเทศไม่ดี กระทบต่อนายจ้าง ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากกว่า 80% ขณะที่ลูกค้าก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ส่วนค่าจ้างทั่วประเทศที่มีการเสนอจ่ายอัตราเดียวนั้น ไม่มีที่ไหนในโลกทำกันและเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ที่ผ่านมารัฐบาลต้องการกระจายความเจริญ การเติบโตของเศรษฐกิจ ดังนั้นการขยายตัวในแต่ละจังหวัดจะไม่เท่ากันอยู่แล้ว ดังนั้นการพิจารณาค่าแรงจะต้องเข้าใจความจำเป็นของทั้งนายจ้างและลูกจ้างให้ดี
แม้การพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงจะประกาศออกมาไม่ทันในวันแรงงานนี้ หากมองตามทามไลน์แล้วถ้าภายในเดือนพฤษภาคมนี้มีการเคาะเพดานการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำออกมาตามอัตราที่กำหนดคือตั้งแต่ 2-10 บาทต่อวันได้ ก็จะมีผลประกาศใช้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ แต่ถ้าเลยเวลาดังกล่าวไปแล้ว ลากยาวจนมีรัฐบาลใหม่เข้ามา การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ก็จะถูกทวงถามจากผู้ใช้แรงงานอีกครั้งถึงตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำที่บรรดาพรรคการเมืองเคยให้สัญญาไว้ก่อนการเลือกตั้ง
การปรับขึ้นค่าแรง แม้จะเป็นนโยบายที่ขัดใจบรรดานายจ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องงัดออกมาใช้ เพียงแต่ช่วงเวลาประกาศขึ้นค่าแรงจะปรากฏในรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้า เพราะสุดท้ายแล้วคณะกรรมการค่าจ้างกลางมีอำนาจเต็มในการประกาศใช้!
คอลัมน์ : Let Me Think
โดย : TATA007
