โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ออกมายืนยันว่าจะนำร่างลงนามสัญญาการประมูล นำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 หลังจากบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีหลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่ามีความโปร่งใสหรือเอื้อประโยชน์ให้กับภาคเอกชนที่ได้ชนะโครงการไปหรือไม่
ยันประมูลโปร่งใส
ในข้อสงสัยดังกล่าวทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) ในฐานะต้นเรื่องของโครงการ ได้ออกมาชี้แจงในรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการล็อกสเปก ที่ยืนยันว่า การประมูลเป็นการเปิดกว้างแบบนานาชาติ ที่มีนักลงทุนไทยและต่างประเทศเข้ามาซื้อซองประมูลถึง 31 ราย แต่มีการยื่นข้อเสนอเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ตามแนวทางและวิธีการของการดำเนินการป้องกันการทุจริตหรือข้อตกลงคุณธรรม ตามพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ 2560
ขณะที่การนำที่ดินมักกะสัน ไปผนวกรวมกับโครงการนั้น เนื่องจากรฟท.มีแผนพัฒนาพื้นที่ 450 ไร่ โดยใช้รูปแบบการร่วมทุนกับเอกชนหรือพีพีพี ในลักษณะเดียวกับการพัฒนาศูนย์คมนาคมพหลโยธิน สถานีกลางบางซื่ออยู่แล้ว เพื่อนำรายได้มาชำระหนี้ ประกอบการนำที่ดินดังกล่าวมาพัฒนาเพียง 140 ไร่ โดยไม่รวมพื้นที่บึงมักกะสัน พื้นที่โรงซ่อมรถจักร และบ้านพัก โรงแรมและโรงพยาบาล และการนำทรัพย์สินของรัฐไปใช้ประโยชน์ จะเป็นการเช่าระยะเวลา 50 ปี และไม่มีเงื่อนไขในการต่อสัญญา
ค่าเช่าที่ดินยึดตามตลาด
อีกทั้ง การประเมินราคาที่ดินเป็นไปตามราคาตลาด ซึ่งรฟท.ได้จ้างสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ประเมินราคาที่ดิน ที่ยึดหลักราคาที่ดินแปลงใหญ่รอบพื้นที่มักกะสัน ทำให้ราคาที่ดินตกถึงตารางวาละ 6 แสนบาท ซึ่งนำไปคำนวณเป็นค่าเช่าที่เอกชนต้องจ่ายให้รฟท.ตลอด 50 ปี หรือได้รับค่าเช่ารวม 52,337 ล้านบาท
ส่วนโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ ที่เข้าไปผนวกโครงการนี้ เช่นกันเนื่องจากปัจจุบันมีหนี้อยู่ประมาณ 33,229 ล้านบาท และผลการดำเนินงานขาดทุนปีละ 300 ล้านบาท หากไม่นำมาให้เอกชนบริหารงาน รฟท.จะเป็นหนี้สะสมมากขึ้นทุกปี ดังนั้น การดำเนินงานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน นี้จึงต้องให้เอกชนจ่ายสิทธิการบริหารแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ ให้รฟท.ไม่น้อยกว่า 10,671 ล้านบาท จากค่าเสียโอกาสรายได้ที่รฟท.ดำเนินโครงการต่อเอง
ประหยัดงบรัฐลงทุน5ปีแรก
นอกจากนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ถือเป็นโครงการที่ประหยัดงบประมาณภาครัฐมากที่สุด โดยในช่วงก่อสร้าง 5 ปีแรก รัฐมีหน้าที่ส่งมอบที่ดินไม่มีภาระด้านงบประมาณการก่อสร้าง เอกชนเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมดก่อน และเมื่อเปิดให้บริการเดินรถไฟความเร็วสูง รัฐถึงจะทยอยจ่ายเงินร่วมลงทุนคือให้เอกชน
สำหรับข้อกังวลที่มองว่าโครงการดังกล่าวนี้ จะคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่นั้น หากประเมินจากปัจจุบันมีผู้เดินทางไปภาคตะวันออกโดยรถยนต์เฉลี่ยประมาณ 4 แสนคนต่อวัน ที่คาดว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารมาใช้บริการรถไฟความเร็วสูงในปีแรก 140,000 คนต่อวัน โดยแบ่งเป็น กลุ่มที่เดินทางในเมืองของรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ ประมาณ 1 แสนคนต่อวัน(ปัจจุบันมี 7 หมื่นคนต่อวัน) และกลุ่มที่เดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครไปพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ประมาณ 40,000 คนต่อวัน และจะมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น 4-6% ต่อปี ด้วยจำนวนขบวนรถไฟ 18 ขบวน วิ่งไปกลับระยะทาง 440 กิโลเมตร ซึ่งได้กำหนดอัตราค่าโดยสารจากสถานีมักกะสันถึงพัทยา ไม่เกิน 379 บาท ใช้การเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง และจะเริ่มมีการปรับใหม่ในปีที่ 8 ไปแล้ว และดำเนินการปรับขึ้นทุกๆ 3 ปี
ผลตอบแทนศก.8.19แสนล.
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากมูลค่าลงทุนโครงการ2.2แสนล้านบาท โครงการนี้จะมีผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจตลอดระยะเวลาโครงการราว 8.19 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 50 ปีแรก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 4.46 แสนล้านบาท โดยเอกชนจะได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 10.5% เทียบกับ 20-25% ของโครงการอื่นๆ ในต่างประเทศ ซึ่งเอกชนจะรับความเสี่ยงเองทั้งหมด รัฐจะไม่ตามไปชดเชยในอนาคต แต่กรณีที่เอกชนได้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานเกินปกติ จะต้องแบ่งรายได้บางส่วนให้รัฐ
รายงาน : โต๊ะข่าวอีอีซี
หน้า 5 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3465 ระหว่างวันที่ 28 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2562