การปล่อยเงินกู้รอบ 3 ของ “หทัยรัตน์ จุฬาง กูร” ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ภายใต้วงเงินกู้ยืม 3,000 ล้านบาท ตามมติบอร์ดนกแอร์ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ขอเพิ่มวงเงินกู้อีก 2,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีจำนวน 1,000 ล้านบาท เป็นทางเลือกเดียวที่จะประคองนกแอร์ ให้ยังคงสยายปีกต่อไปได้
เพราะกว่า 3 ปีที่ผ่านมา กระแสเงินสดของสายการบินติดลบต่อเนื่อง ขาดทุนสะสมยังไม่ได้จัดสรรกว่า 8,122 ล้านบาท การกู้เงินจากสถาบันการเงินก็คงไม่มีใครยอมปล่อยกู้ เมื่อสถานะนกแอร์ขาดทุนเกินทุนอยู่ หลักทรัพย์คํ้าประกันก็ไม่มี หรือจะเพิ่มทุนรอบที่ 4 ก็ยิ่งหนักไปใหญ่
เนื่องจากที่ผ่านมานกแอร์ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมไปแล้วกว่า 3 ครั้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาระให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีสัญญาณชัดเจนที่ผู้ถือหุ้นอย่างการบินไทย ที่ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 15.94% จะไม่ใช้สิทธิในการจองหุ้นเพิ่มทุน ก็จะทำให้เกิดการทยอยลดส่วนการถือหุ้นลงไปเรื่อยๆ
ดังนั้นการปล่อยกู้รอบนี้ ก็ช่วยทำให้นกแอร์มีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ โดยแลกกับการต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ไม่เกินกว่าอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี MLR+ร้อยละ1 ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันที่ 7.175 ต่อปี แม้ว่าจะทำให้นกแอร์มีภาระอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสายการบินคู่แข่ง อย่าง "ไทยแอร์เอเชีย" ที่มีเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน เป็นเงินกู้ยืมในรูปตั๋วสัญญาใช้เงิน มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.40%และ3.25%ต่อปี ทำให้มีต้นทุนทางการเงินสูงกว่าบริษัทคู่แข่ง
ขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยลดภาระของผู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนในครั้งหน้า หรือช่วยยืดระยะเวลาการเพิ่มทุนให้ช้าลง และไม่ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยลดลงไปกว่าที่เป็นอยู่
แล้วถามว่าก็เพิ่งจะเพิ่มทุนไปเมื่อเดือนมกราคม 2562 ได้เงินมา 2,300 ล้านบาท ประกอบกับมีเงินกู้คงค้างอยู่ราว 500 ล้านบาท แล้วเงินไปไหน ทำไมต้องขอวงเงินกู้เพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท จากข้อมูลพบว่า การระดมทุนที่ได้ในครั้งก่อนหน้านี้ นกแอร์ มีการนำไปใช้เพิ่มทุนในบริษัทสายการบินนกสกู๊ต จำกัด 245 ล้านบาท ในต้นปี 2562
รวมถึงมีการจ่ายคืนเงินกู้ประเภทตั๋วเงินจากสถาบันการเงิน 900 ล้านบาท ที่ใช้เงินฝากของหทัยรัตน์ จุฬางกูร เป็นหลักทรัพย์คํ้าประกัน รวมถึงจ่ายคืนเงินกู้ให้หทัยรัตน์ 800 ล้านบาทที่จะถึงกำหนดชำระในเดือนเมษายนนี้ และชำระคืนเจ้าหนี้การค้าของบริษัทในงบการเงินเฉพาะกิจการ ซึ่งเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 2,670ล้านบาทในปี 2559 เป็น 3,282 ล้านบาทในปี 2561 เนื่องจากสภาพคล่องที่มีไม่เพียงพอของบริษัทนั่นเอง
อย่างน้อยการกู้เงินที่จะได้เพิ่มมาอีก 2,000 ล้านบาทนี้ ก็ยังคงประคองให้นกแอร์ พอสยายปีกได้อยู่ แล้วจะไปไหวสักแค่ไหน เพราะตั้งแต่ปี 2559 ถึงปัจจุบันขาดทุนไม่ตํ่ากว่าปีละ 1,800 ล้านบาท งานนี้ขึ้นอยู่กับว่าแผนการพลิกฟื้นธุรกิจ(Turnarond Plan)ของนกแอร์ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ทั้งการบริหารจัดการเครื่องบิน การลดเที่ยวบิน การเปิดจุดบินใหม่โดยเฉพาะในต่างประเทศ และการเพิ่มเที่ยวบินในจุดที่มีศักยภาพ การลดแบบเครื่องบิน โดยมีเป้าหมายต้องหยุดขาดทุนภายในปีนี้ให้ได้ก่อน และต้องหยุดการขาดทุนให้ได้ติดต่อกันถึง 3 ไตรมาสภายในปี 2563
ต้องลุ้นว่าจะทำได้ตามเป้าหรือไม่ ถ้าทำได้ก็พอมีทางที่กลุ่มจุฬางกูร จะขายหุ้นนกแอร์ออกไปได้ หลังอกหักจากการไปเร่ขายให้กับบริษัทเอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV และบริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ PG หลังจากที่ผ่านมากลุ่มจุฬางกูร เจ็บตัวกับการเข้ามาถือหุ้นในนกแอร์ ที่ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน คาดกัน ว่ากลุ่มจุฬางกูร ขาดทุนในหุ้น NOK ไปแล้วไม่ตํ่ากว่า 4,705.57 ล้านบาท
ทั้งนี้หากนกแอร์พอฟื้นตัวและมีการดำเนินธุรกิจที่เติบโตได้บ้าง อย่างน้อยกลุ่มจุฬางกูร ก็น่าจะพอขายหุ้นออกไปได้ ทำให้นกแอร์มีความหวังที่จะบินต่อได้ ดีกว่ามานั่งรอเวลาว่าเมื่อไหร่กลุ่มจุฬางกูรจะอุ้มนกแอร์ไม่ไหว และปล่อยให้ล้มหายไป
หน้า 11 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3465 ระหว่างวันที่ 28 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2562