‘อเมซอน’หนุนSMEsไทยตั้งทีมติวเข้มพร้อมลุยตลาดโลก
อเมซอน ตั้งทีมหนุนผู้ประกอบการขายสินค้า ผ่านแพลตฟอร์มออกสู่ตลาดโลก วางเป้าระยะยาวเจาะตลาดสหรัฐฯ ยาหอม ตลาดไทยมีศักยภาพเติบโตเป็นหนึ่งในฐานผลิตสินค้าสำคัญโลกตื่นตัวกระแสเปลี่ยนแปลงอี-คอมเมิร์ซ
นายเบอร์นาร์ด เทย์ ผู้อำนวยการอเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ประจำ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่าอเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง เป็นหนึ่งในหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ของอเมซอน ได้ตั้งทีมขึ้นในไทยเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทะเบียนขายสินค้ารวมถึงมีการให้ความรู้จากทีมงาน ที่เหมาะกับผู้ประกอบการชาวไทย เข้าใจง่ายและสามารถทำได้จริง ซึ่งสามารถทำให้ผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าได้แบบวันสต็อปเซอร์วิส เนื่องจากการส่งออกจำเป็นต้องอาศัยผู้ให้บริการที่เข้ามาช่วยเหลือ
เป้าหมายระยะยาวที่จะทำต่อจากนี้ คือการทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในประเทศไทย เพื่อทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถทำตลาดในสหรัฐอเมริกาได้ ก่อนหน้านี้ได้มีการศึกษาดีมานด์ในสหรัฐอเมริกามาก่อน แล้วจึงมองหาว่าอะไรเป็นจุดแข็งของไทย พบว่าสินค้าของไทยที่คาดว่าจะทำตลาดได้ดีมีอยู่ 5 หมวดหมู่ คือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ตกแต่งบ้าน , สินค้าสัตว์เลี้ยง,เครื่องกีฬา และของเล่น ขณะที่การร่วมมือกับภาครัฐ ปัจจุบันมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ อย่างไทยเทรด แต่ยังไม่มีโครงการความร่วมมือครั้งใหญ่อื่นๆ
สำหรับเหตุผลที่อเมซอนเลือกทำตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพในการเติบโต โดย Deloitte ได้จัด อันดับให้ไทยเป็นหนึ่งใน MITI-V หรือ Mighty Five ที่มีฐานการผลิตที่แข็งแรง และประเทศไทยมีประสบการณ์ในการส่งออกจำนวนมาก อีกทั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงของอี-คอมเมิร์ซไทยมีความตื่นตัว หรือแอกทีฟ ตั้งแต่มีเรื่องของดิจิทัลไทยแลนด์เข้ามา จึงเชื่อว่าประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดอี-คอมเมิร์ซระหว่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะเห็นปัจจัยที่เป็นจุดแข็งของไทยแต่ก็ยังมีบางส่วนที่เป็นอุปสรรค เช่น ความตื่นตัวในการทำตลาดออน ไลน์ระดับโลกของผู้ประกอบการไทยที่ยังมีความกังวล หรือขาดความรู้และไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ซึ่งอเมซอน โกลบอลเซลลิ่งจะเข้ามาช่วยผู้ประกอบการได้
“ที่ผ่านมาการเติบโตของตลาดออฟไลน์อยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี ขณะที่ตลาดอี-คอมเมิร์ซเติบโตปีละกว่า 23% หรือคิดเป็น 4 เท่าของตลาดออฟไลน์ ซึ่งตลาดอี-คอมเมิร์ซระหว่างประเทศ (Cross Border e-Commerce) ถือว่า เป็นเทรนด์ใหม่ โดยเมื่อราว 4-5 ปีก่อนตลาดอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 15% ขณะที่ปัจจุบันเติบโตมากถึง 29%” ปัจจุบันมีธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าผ่านอเมซอนจาก 130 ประเทศทั่วโลก โดยจดหมายจากผู้ถือหุ้น เผยว่าสัดส่วนยอดขายสินค้าของธุรกิจที่มาจากผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มมากขึ้นจาก 3% ในปี 2542 เป็น 58%
ขณะที่ในปี 2561 เอสเอ็ม อีกว่า 50,000 ราย สามารถสร้างยอดขายบนอเมซอนได้รายละกว่า 5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ และเอสเอ็มอีกว่า 2 แสนรายมียอดขายบนอเมซอนเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 โดย 50% ของสินค้าที่ขายบนอเมซอนนั้นมาจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นอกจากนี้จำนวนเอสเอ็มอีที่ทำยอดขายเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯผ่านอเมซอนมีการเติบโตกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันอเมซอนมีเว็บไซต์สำหรับขายสินค้าอยู่ 18 เว็บไซต์ ซึ่งสินค้าของอเมซอนไม่ได้ถูกจำกัดแค่เพียงผู้ขายภายในสหรัฐอเมริกา แต่สินค้าสามารถมาจากในหลายประเทศทั่วโลก อเมซอน โกลบอล เซลลิ่งมีรายได้มาจาก 3 ช่องทาง คือ 1.ค่าบริการรายเดือนบนแพลตฟอร์ม 2.ค่าคอมมิสชัน และ 3.ค่าบริการ FBA
อย่างไรก็ตาม อเมซอน โกลบอล เซลลิ่ง ที่เข้ามาขยายตลาดในประเทศไทยนั้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงลูกค้าเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ทั่วโลก โดยจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ขายทั่วโลกกับลูกค้าที่มีอยู่บนแพลตฟอร์มกว่า 300 ล้านราย ซึ่งเป็นลูกค้าชั้นดีกว่า 100 ล้านราย ที่มีการซื้อสินค้าผ่านมาร์เก็ตเพลสของอเมซอน ปัจจุบันอเมซอนมีศูนย์จัดส่งสินค้า 175 แห่ง และคลังสินค้าเพื่อรองรับการสต๊อกสินค้าให้กับผู้ประกอบการ เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าไปยังลูกค้า 185 ประเทศทั่วโลก ตัวอย่างของสินค้าแบรนด์ไทยที่สามารถสร้างการเติบโตและประสบความสำเร็จได้บนอเมซอน อาทิ พีเจ วู้ด (PJ Wood) ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทย ซึ่งหลังจากที่เริ่มขายสินค้ากับอเมซอนทำให้ธุรกิจเติบโตกว่า 150% ภายใน 2 ปี, แบรนด์วิริสมาหรา (Viris Zamara) แบรนด์เสื้อผ้าของไทย ที่เริ่มจำหน่ายบนอเมซอนในปี 2561 และสร้างการเติบโตของธุรกิจได้กว่า 50%, วิลกิ้นส์ คลีนเซอร์ (Wilkins Cleanser) แบรนด์สัญชาติไทยผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรองเท้า ที่สามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจได้ถึง 30% ในระยะเวลา 6 เดือน
หน้า 11 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3464 ระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2562
