ผวา‘หนี้ท่วมโลก’ ฉุดศก.ถดถอย

ไอเอ็มเอฟ-เวิลด์แบงก์-เอดีบี ฟันธงเศรษฐกิจโลกปีนี้ชะลอตัว เหตุหลากหลายปัจจัยรุมเร้า หวั่นปัญหาหนี้ท่วมทั่วโลกระเบิดเวลาลูกใหม่ สงครามการค้าสหรัฐฯ-อียู ฉุดตลาดเงิน การค้าโลกป่วนแน่

สถาบันเศรษฐกิจชั้นนำของโลกออกรายงานเตือนทั่วโลกรับมือสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวที่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย พร้อมปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศจากหลากหลายปัจจัยเสี่ยง ซึ่งครอบคลุมถึงสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา ความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากกระบวนการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปหรือ เบร็กซิท รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าสหรัฐฯเตรียมเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (อียู) ยิ่งเพิ่มความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับการทำสงครามทางการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกมากขึ้น

เมื่อเดือนมกราคม 2562 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เคยคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ระหว่างปี 2562-2563 จะขยายตัวที่อัตรา 3.5% แต่ล่าสุดในรายงานฉบับเดือนเมษายน 2562 ได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.3% รวมทั้งได้ปรับลดตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในปีนี้ลงเหลือ 2.3% จากเดิมประเมินไว้ 2.5% ส่วนยุโรป (ยูโรโซน) ปรับเหลือ 1.3% จากเดิม 1.6%

อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟยังไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะใกล้นี้ แต่มีปัจจัยสำคัญที่ยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด นั่นคือ หากสหรัฐฯและจีนใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอีกฝ่ายที่อัตรา 25% ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ของสหรัฐฯราว 0.6 % ขณะที่กระทบจีดีพีของจีนประมาณ 1.5%

ขณะที่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เตือนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียในปี 2562 และปี 2563 จะชะลอตัวลงจากผลพวงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ประกอบกับความวุ่นวายสับสนในตลาดทุนและตลาดเงินจากกรณีเบร็กซิท พร้อมทั้งปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของ ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งประกอบด้วย 45 ประเทศในภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก ว่าจะขยายตัวในอัตราเพียง 5.7% ในปีนี้ ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม 5.9% เมื่อปี 2561 และปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ 5.6% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตตํ่าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544

เช่นเดียวกับเอดีบี ธนาคาร โลก หรือ เวิลด์แบงก์ (World Bank) ได้ปรับลดเป้าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ อเมริกาปีนี้ที่ 2.9% จากเดิมคาดไว้ที่ 3% ขณะที่จีดีพีกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาคาดว่าจะอยู่ที่ 4.2% ลดลงกว่าเดิมถึง 0.5% รวมไปถึงกลุ่มยูโรโซนอยู่ที่ประมาณ 1.6% ส่วนเศรษฐกิจโลกโดยเฉลี่ย ปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่อัตรา 2.9%

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังแสดงความกังวลถึงปัญหาหนี้ทั่วโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังเป็นความเสี่ยงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยก่อนหน้านี้ผู้อำนวยการของไอเอ็มเอฟเคยแสดงความกังวลในเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน

ด้าน มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส กังวลว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากสหรัฐฯและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าภายในเวลา 3 เดือน

ส่วนการคาดการณ์เศรษฐกิจของหน่วยงานในไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำร่องปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้เหลือ 3.8% จาก 4.0%พร้อมปรับลดเป้าส่งออกเหลือ 3.0%จากเดิมที่คาดไว้ที่ระดับ 3.8% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง  (สศค.) กำหนดทบทวนตัวเลขจีดีพีในเดือนเมษายนนี้จากเดิมคาดอัตราเติบโตไว้ที่ 4.0% และสศช.เดิมประมาณการไว้ที่ 4.0% (3.5-4.5%) ด้าน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)ได้ทบทวนปรับลดประมาณการจีดีพีเหลือ 3.7-4.0% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.0-4.3% พร้อมทั้งปรับคาดการณ์การส่งออกที่เติบโตชะลอกว่าที่เคยประเมินไว้ โดยอาจขยายตัวประมาณ 3.0-5.0% จากเดิมคาดไว้ที่ 5.0-7.0%

นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด อีไอซี ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า อีไอซีปรับลดประมาณการจีดีพีลงมาอยู่ที่ 3.6% จากเดิมที่ 3.8% สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกของไทยที่มีอัตราการเติบโตที่ลดลงเหลือ 2.7% จากเดิมที่คาดไว้ 3.4% เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกครึ่งหลังน่าจะดีขึ้น เพราะผลลบจากสงครามการค้าลดลง ขณะผลบวกภาวะการเงินเริ่มผ่อนคลาย รวมถึงกรณีสหรัฐฯไม่ขึ้นภาษีจีนก็จะช่วยภาคการส่งออกไทยดีขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนน่าได้อานิสงส์ และธุรกิจจีนที่ย้ายฐานมาผลิตในไทยโดยได้รับอนุมัติบีโอไอจากปีก่อนคาดว่าน่าจะเห็นตัวเลขส่งออกได้ปีหน้า 

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3462 วันที่ 18-20 เมษายน 2562