เลือกตั้งอินโดฯ โพลชี้ "วิโดโด" ครองเก้าอี้ ปธน. อีกสมัย

เมื่อ17 เม.ย. 2562 เป็นอีกวันสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองของอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในอาเซียน เพราะเป็นวันที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนกว่า 192.8 ล้านคนทั่วประเทศ (จากประชากรทั้งหมดกว่า 260 ล้านคน) จะได้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และเลือกผู้แทนเข้าไปบริหารบ้านเมืองในฐานะสมาชิกรัฐสภา โดยแบ่งเป็น 560 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร และ 132 ที่นั่งในวุฒิสภา นอกจากนี้ ยังจะได้เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นอีกราว 20,000 ที่นั่ง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่จะเกิดขึ้นและจบภายในวันเดียว

ความยิ่งใหญ่ในแง่ตัวเลขยังมีอีกหลายชุด เช่น จำนวนเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง มีทั้งหมด 7.2 ล้านคน (เฉพาะจำนวนเจ้าหน้าที่ก็มากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศของสิงคโปร์แล้ว) มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 6 แสนนาย ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคุมเข้มด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้งที่จะใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น

อินโดนีเซียนั้นเป็นประเทศเกาะ ที่ประกอบด้วยหมู่เกาะขนาดต่าง ๆ จำนวนกว่า 17,000 เกาะ จึงต้องมีหน่วยเลือกตั้งจำนวนถึง 810,329 หน่วย เพื่อรองรับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนมากกว่า 192.8 ล้านคน ทั้งนี้ มีการแบ่งเขตเวลาถึง 3 เขต คือ ฝั่งตะวันตกตรงกับเวลาของประเทศไทย ตอนกลางของประเทศมีเวลาเร็วกว่ากรุงจาการ์ตา 1 ชั่วโมง และทางตะวันออกของประเทศเวลาเร็วกว่า 2 ชั่วโมง ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการจะออกมาในเวลา 2 ชั่วโมง หลังคูหาเลือกตั้งอินโดนีเซียฝั่งตะวันตกปิด แต่ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะประกาศหลังจากนั้นอีกหลายสัปดาห์

การเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบทางตรงแล้ว ยังมีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและสมาชิกสภาท้องถิ่นด้วย โดยมีผู้สมัครร่วมชิงชัยในการเลือกตั้งมากกว่า 245,000 คน เพื่อช่วงชิงเก้าอี้ในสภารวมทั้งหมด 20,000 ที่นั่ง แม้ว่าอินโดนีเซียยังเป็นประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก ตามหลังอินเดียและสหรัฐอเมริกา แต่นี่จะเป็นการเลือกตั้งแบบวันเดียวจบที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เทียบกับอินเดียต้องใช้เวลาเลือกตั้งถึง 7 วัน ระหว่างวันที่ 11 เม.ย. ถึง 19 พ.ค. 2562)

ข้อมูลจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของอินโดนีเซีย (เคพียู) ระบุว่า การลงคะแนนจะใช้บัตร 5 ใบ แบ่งเป็น บัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีที่จะเป็นใบเดียวกัน ส่วนอีก 4 ใบที่เหลือ เป็นบัตรลงคะแนนสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่รวมถึงนายกเทศมนตรีและสภาเทศบาล โดยในทุกตำแหน่งมีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครรวมกันมากกว่า 245,000 คน

ในส่วนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะเป็นการชิงชัยระหว่าง นายโจโค วิโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน วัย 57 ปี ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซียแห่งการต่อสู้ (พีดีไอ-พี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลชุดปัจจุบันและเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ กับ นายปราโบโว สุเบียนโต ตัวแทนพรรคขบวนการอินโดนีเซียยิ่งใหญ่ (เกรินดรา) แกนนำฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าที่เคยชิงชัยกันมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยครั้งนั้น นายปราโบโวแพ้คะแนนนายโจโกวีเพียง 6%

การนับคะแนนหลังปิดหีบเลือกตั้งจะเป็นการนับคะแนนแบบเร็วคล้ายกับเอ็กซิตโพล คาดว่า ผลอย่างเป็นทางการในส่วนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีน่าจะมีความชัดเจนภายในช่วงค่ำของวันเลือกตั้ง

ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งชาวอินโดนีเซีย โดยสำนักข่าวและสำนักโพลทุกแห่งเป็นไปในทางเดียวกันว่า ประธานาธิบดี "โจโค วิโดโด" ซึ่งอยู่ในตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2557 จะยังคงรักษาตำแหน่งไว้ได้เป็นสมัยที่ 2 อย่างไรก็ตาม หากผู้สมัครในตำแหน่งใดเชื่อว่ามีการทุจริต หรือ พบความไม่ชอบมาพากลในการนับคะแนน ก็สามารถยื่นเรื่องพร้อมหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 72 ชั่วโมง หลังเคพียูประกาศผลคะแนนอย่างเป็นทางการ และคณะตุลาการทั้ง 9 คน จะมีคำพิพากษาภายใน 14 วัน ซึ่งไม่สามารถอุทธรณ์ได้อีก

เกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เคพียู หรือ คณะกรรมการการเลือกตั้งกลางของอินโดนีเซีย ได้รับเรื่องร้องเรียนมาแล้วและกำลังสอบสวนคำกล่าวหาทุจริตเลือกตั้ง หลังจากมีวิดีโอเปิดโปงว่า พบบัตรเลือกตั้งนอกอาณาเขตกว่า 20,000 ใบ ถูกเก็บไว้ในสถานที่ 2 แห่งในประเทศมาเลเซีย โดยบัตรจำนวนมากถูกทำเครื่องหมายเลือกประธานาธิบดี "โจโค วิโดโด" ไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ มีชาวอินโดนีเซียราว 2 ล้านคน เป็นประชากรในต่างแดน และในจำนวนนี้มีชาวอินโดนีเซียที่ขึ้นทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าในประเทศมาเลเซียราว 1 ล้านคน

ด้าน พรรคฝ่ายค้านของอินโดนีเซียได้ออกโรงเตือนว่า จะยื่นฟ้องต่อศาลและจะจัดชุมนุมประท้วงความผิดปกติในการเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึงการระบุวันเกิดผิดและหมายเลขบัตรประจำตัวที่ซ้ำซ้อนกันของผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง 17.5 ล้านคน หรือเกือบ 10% ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมด