ผลวิจัยชี้มลพิษทางเสียงกรุงเทพฯสูงกว่ามาตรฐาน4เท่า
นิสสัน เดินหน้าสร้างการรับรู้ให้รถพลังงานไฟฟ้า “อีวี” และข้อดีของการซื้อ “ลีฟ” มาใช้งาน ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ สมรรถนะ ต้นทุนต่อหน่วยงานวิ่งตํ่ารวมถึงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุดเผยผลวิจัยมลพิษทางเสียงจากการจราจร พบว่าเมืองใหญ่ในเอเชียรวมถึงกรุงเทพฯ มีระดับเสียงรบกวนสูงกว่ามาตรฐานถึง 4 เท่า
มลพิษทางเสียงจากการจราจรกลายเป็นภัยคุกคามอันดับ 2 ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน นิสสันเอเชียและโอเชียเนียได้เผยแพร่ผลศึกษามลพิษทางเสียงที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักถึงซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% สามารถจัดการกับความเสี่ยงที่กำลังเพิ่มขึ้นนี้
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) การได้รับมลพิษทางเสียงในระยะยาวจากการจราจรที่สูงกว่า 53 เดซิเบล (dB) อาจส่งผลให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ การสูญเสียการได้ยิน หรือแม้กระทั่งภาวะหัวใจวาย ซึ่งระดับเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชียและเมืองใหญ่ของโอเชียเนียอย่างกรุงเทพฯ, โฮจิมินห์ซิตี, จาการ์ตา, ฮ่องกง, มะนิลา, เมลเบิร์น, สิงคโปร์ และโซล โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 76 เดซิเบลหรือเกือบ 4 เท่าของระดับเสียงที่เหมาะสม
เสียงรบกวนเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในเมืองเมื่อเวลาผ่านไปและเทียบเท่ากับเสียงรบกวนจากนาฬิกาปลุกเสียงเรียกเข้า (ประมาณ 80 เดซิเบล)ในทางกลับกันระดับมลพิษทางเสียงที่ลดลงจะสามารถลดความรู้สึกหงุดหงิดบนท้องถนน เพิ่มประสิทธิภาพด้านการรับรู้ และให้ผลดีหลายด้านเพิ่มมากขึ้น
นิสสันวัดและเปรียบเทียบระดับเสียงของถนนในเมืองทั่วไป กับถนนที่มีระดับเสียงจากรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยใช้เครื่องวัดระดับเสียง ผลลัพธ์แสดงระดับเสียงรบกวนบนท้องถนนทั่วไปสูงสุดที่ 90 เดซิเบลเมื่อเทียบกับเสียงที่เกิดจากรถยนต์ไฟฟ้า อย่างนิสสัน ลีฟ เกิดเสียงดังเพียง 21 เดซิเบลหรือมีความเงียบกว่าห้องสมุด (ประมาณ 30เดซิเบล) และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของเสียงที่มาจากเครื่องยนต์ที่ใช้นํ้ามันเบนซินหรือดีเซล ที่ประมาณ 76เดซิเบลรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นตัวเลือกที่ช่วยลดมลพิษทางเสียงจากการจราจร
“อัตราการขยายตัวของเมืองในเอเชียนั้นเพิ่มขึ้นทำให้มลพิษทางเสียงกลายเป็นปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเราสามารถรวมตัวกันเพื่อลดปัญหานี้และจากการทดสอบนี้บ่งชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% อย่างนิสสัน ลีฟ ซึ่งมีระบบขับเคลื่อนที่เงียบ และไร้มลพิษ จะมีศักยภาพในการลดปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างสูงโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียและโอเชียเนีย” ยูตากะ ซานาดะรองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคของเอเชียและโอเชียเนียกล่าว
หน้า 23 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,462 วันที่ 18-20 เมษายน 2562
