รัฐบาลใหม่เสียงปริ่มนํ้า อยู่ได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่ง

17 เม.ย. 2562 | 03:00 น.
อัปเดตล่าสุด :17 เม.ย. 2562 | 07:21 น.

การเมืองไทยหลังเลือกตั้งฝุ่นตลบ เมื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) และพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ต่างอ้างความชอบธรรม แข่งรวมเสียงส.ส.ชิงจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อดูสถานการณ์แวดล้อมทางการเมือง อุณหภูมิพุ่งกระฉูดไม่แพ้อากาศร้อนเดือนเมษายน จนหลายฝ่ายหวั่นจะเป็นเงื่อนไขให้การฟอร์มทีมรัฐบาลได้เสียงสนับสนุนปริ่มนํ้า ส่งผลให้รัฐบาลไร้เสถียรภาพ

 

รัฐบาลใหม่อยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี

ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีความเห็นจาก ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการผู้ชำนาญการรักษาการผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อ ประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า สะท้อนมุมมองว่า ในกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ช่วงชิงการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ เสถียรภาพของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่น่าจะอยู่ครบวาระ 4 ปี แต่อยู่ได้ 2 ปีก็นับว่าเก่งแล้ว เพราะรัฐบาลจะมีเสถียรภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเสียงที่จะสนับสนุน ถ้ารวมได้ 250 กว่าๆ ถือว่ายังมีความเสี่ยง

“ถ้ารวบรวมเสียงส.ส.ได้ 270-280 เสียง ถ้าพลังประชารัฐ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จากประชาธิปัตย์ประมาณ 50 เสียง ภูมิใจไทย ประมาณ 50 เสียง ถ้า 2 พรรคนี้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ฝ่ายพลังประชารัฐก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทันที การถูกต่อรองเรื่องต่างๆ จะเยอะ”

รัฐบาลใหม่เสียงปริ่มนํ้า  อยู่ได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่ง

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ

นอกจากนั้นจำนวนเสียงไม่มากอย่างนี้ จะถูกต่อรองจากพรรคขนาดเล็กด้วย และถ้าพี่ไทยใจแข็งไม่มีใครมาเลย ต้องใช้ส.ส.พรรคเล็กๆ ที่มีพรรค ละ 1 เสียง มารวมกันก็จะกลายเป็นรัฐบาลผสมเสียงข้างมากประมาณกว่า 10 พรรค ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลอ่อนแอ มักมีปัญหาเรื่องการต่อรองทางการเมือง ในช่วง 1-2 ปีหลังจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคหลักจะทนไม่ไหวอาจต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่

นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า มองว่า จากตัวเลขพรรคเพื่อไทยน่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ติดเงื่อนไขหลายอย่างที่ทำให้ตั้งรัฐบาลได้ยาก เช่น ถ้าไม่ มีเสียงจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มาเติมเลย เว้นแต่ใช้กระแสจากพลังภายนอกสภากดดัน

ขณะที่พลังประชารัฐได้เสียงโหวตจากประชาชนมากกว่า ทำให้เพื่อไทยอ้างเรื่องที่นั่งมากกว่าพลังประชารัฐไม่ได้ เพราะที่นั่งห่างกันแค่กว่า 10 เสียง แม้ว่าโดยทั่วไปจะดูที่ที่นั่งในสภาก็ตาม ไม่ว่าที่ไหนในโลกการจัดตั้งรัฐบาลใครได้ที่ 1 มีความชอบธรรมมากกว่าก็จัดตั้งรัฐบาลไป แต่รวบรวมไม่ได้ เพราะเงื่อนไขเรื่องตัวเลขใหญ่เกิน ต้องได้ส.ส. 376 เสียง ขึ้นไปจึงจะได้นายกฯ

รัฐบาลใหม่เสียงปริ่มนํ้า  อยู่ได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่ง

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้พรรคที่มีเสียงอันดับ 1 ท้อไป เอง ทำให้พรรคอันดับ 2 มีสิทธิที่จะจัดตั้ง เพราะพรรคอันดับ 1 จัดตั้งไม่ได้ ตราบใดที่ไม่มีพรรคใดได้ส.ส.เกินครึ่งของสภา

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ไม่มีพรรคใดได้ส.ส.เกินครึ่งสภา พรรคอันดับ 1, 2 หรือ 3 ก็ไม่สำคัญ ใครรวมเสียงได้เกิน 250 เสียงก่อน คนนั้นก็เป็นรัฐบาลได้ เพราะการผสมรัฐบาลไม่ใช่เอาจำนวนส.ส.มารวมกันให้ได้เกิน 250 เสียง แต่ต้องดูนโยบายพรรค อุดมการณ์ทางการเมือง ไปด้วยกันได้ ซึ่งในต่างประเทศ พรรคที่เสียงมากอันดับ 1 อุดมการณ์ไม่ตรงกับอันดับ 2 และ 3 ก็ไม่มีใครมาร่วมด้วย เพราะอุดมการณ์ไม่ตรงกัน ก็ต้องรับสภาพเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งไป

“ภท.”ตัวแปรหลัก

สอดคล้องกับ รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ที่ชี้ว่า ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ก็จะได้รัฐบาลที่มีเสถียร ภาพทางการเมืองน้อย บริหารประเทศได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่งแล้ว เพราะเสียงของทั้ง 2 พรรค ปริ่มนํ้าทั้งคู่ รัฐบาลที่มีเสถียรภาพต้องมีเสียง 270 เสียงขึ้นไป อาจจะต้อง 300 เสียงด้วยซํ้า แต่สภาพปัจจุบันคงเป็นเรื่องยากลำบากมาก โอกาสอยู่ไม่ครบวาระจะเป็นไปได้สูง ในแง่ของการทำงานในสภาต้องอาศัยเสียงที่เด็ดขาดพอสมควร เพราะในสภาพความเป็นจริง ส.ส.มาร่วมประชุมพร้อมกันทั้งหมดเป็นไปไม่ได้

รัฐบาลใหม่เสียงปริ่มนํ้า  อยู่ได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่ง

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย

“ตัวแปรตอนนี้คือภูมิใจไทยจะเป็นตัวแปรหลัก และจะชี้ว่าทิศทางจะไปทางไหน ที่ภูมิใจไทยยังแสดงท่าทีไม่ชัดเจน เพราะต้องดูสถานการณ์ทางการเมือง อาจรอดูช่วงประกาศรับรองผล 60 วันหลังเลือกตั้ง รวมทั้งพรรคขนาดเล็ก จำนวน 3-7 ที่นั่ง อาทิ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา ฯลฯ รวมแล้วประมาณ 20 ที่นั่ง พรรคเหล่านี้จะเป็นตัวเสริมเสถียรภาพ”

 

เชื่อเกิด“งูเห่า”ในพท.

คิดว่าอาจจะมี “งูเห่า” ในพรรคการเมือง เพราะในภาวะที่คะแนนเสียงรัฐบาลปริ่มนํ้า ลักษณะการเมืองแบบไทยๆ เรื่องการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว การใช้เครือข่าย การใช้ระบบพรรคพวกเพื่อนฝูงมีแน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่กังวลคือ พรรคเพื่อไทยที่ไม่มีส.ส.บัญชีรายชื่อเลย ผู้ใหญ่ในพรรคแกนนำของพรรคจะไม่ได้เข้าไปคุมทิศทางของส.ส.ในสภา โอกาสที่จะมี “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นไปได้

อาจารย์รัฐศาสตร์ มสธ. มองว่า นอกจากพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่เป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาล ยังมีเงื่อนไขการ เมืองนอกสภาที่จะทำให้เขย่าเสถียรภาพได้ ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน 

ลุ้นรัฐบาลอยู่ครบ4ปี

เชื่อมี‘งูเห่า’เสริมทัพ

 

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองแนวโน้มรัฐบาลใหม่ว่า ในสายตาคนในรัฐบาล หรือคนการ เมืองจะมองต่างไปจากนักวิชาการ โดยเฉพาะคนที่รัฐบาลไม่ว่าจะพรรคการ เมืองใดก็ตาม จะมองว่าอายุรัฐบาลจะต้องอยู่นานถึง 4 ปี อยู่จนครบวาระของรัฐบาล ไม่มีใครอยากอยู่แค่ 1-2 ปี เพราะถ้าเป็นรัฐบาลอายุสั้น หมายถึงการเลือกตั้งใหม่ เขาอาจจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนที่ผ่านมา

ส่วนวิธีการที่จะอยู่บริหารประเทศยาว อาจจะต้องไปดึงพรรคโน้นพรรคนี้ เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

รัฐบาลใหม่เสียงปริ่มนํ้า  อยู่ได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่ง

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ

อย่างไรก็ดี การชิงจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคพลังประชารัฐ เป็นไปได้ที่จะมี “งูเห่า” ในพรรคการเมืองใดพรรค การเมืองหนึ่ง แต่เวลาเป็นงูเห่าหรือส.ส.ที่แตกออกมาจากพรรคใด ทางส.ส.ก็ต้องพยายามหาเหตุผลอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง เช่น อาจจะบอกว่าได้ฟังเสียงประชาชนแล้ว ประชาชนต้องการให้พรรคเข้าร่วมรัฐบาล อ้างว่าถ้าพรรคเป็นฝ่ายค้านก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ จำเป็นต้องแตกตัวออกมา 

ในกรณีพรรคใดจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย สิ่งแรกที่จะทำคือ ไม่เสนอกฎหมายที่สำคัญและมีความเสี่ยงสูง หรือชะลอการเสนอกฎหมายไว้ก่อน เว้นแต่กฎหมายงบประมาณที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนกฎหมายอื่นจะชะลอไว้จนกว่าจะเห็นว่ามีฉันทามติ หรือพรรคฝ่ายค้านก็ต้องการกฎหมายเหล่านี้จึงจะเสนอกฎหมายเข้าสภา

ส่วนกฎหมายที่มาจากนโยบายรัฐบาลแล้วมีการโต้แย้งกันมาก รัฐบาลจะไม่เสนอ เพราะถ้ากฎหมายตกไปรัฐบาลก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะเวลาเสนอกฎหมายไม่ใช่เป็นกฎหมายของรัฐบาลฝ่ายเดียว สมมุติกฎหมายอาญา กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ เวลารัฐบาลเสนอ ฝ่ายค้านก็จะเสนอประกบด้วย ถ้าหลักการไปด้วยกันได้ ก็สามารถคุยกันในชั้นแปรญัตติได้ แต่ถ้าเป็นกฎหมายที่รัฐบาลเห็นว่ามีความสำคัญ แต่ถูกฝ่ายค้านเบรกตั้งแต่แรก กรณีนี้รัฐบาลจะไม่เสนอเพราะถ้ากฎหมายถูกควํ่ายิ่งมีปัญหา

จะเห็นว่าในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา “รัฐบาลประยุทธ์” พิจารณากฎหมายเยอะมาก รัฐบาลเคยคุยว่าเป็นยุคที่มีการพิจารณากฎหมายมากกว่ารัฐบาล 10-20 ปีที่ผ่านมา คิดว่ากฎหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นต้องเสนอ อาจจะไม่มีก็ได้

“ในพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม ก็เริ่มจะเห็นท่าทีว่าพรรคจะจับมือกับใครในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งว่าที่ส.ส.ในพรรคหลายคนก็คิดสอดคล้องกันที่จะเลือกไปทางพรรคพลังประชารัฐ แต่จะไปแสดงความกระตือรือร้นว่าเราจะเข้าร่วมรัฐบาลแน่ มันคงไปแสดงเจตนาอย่างนั้นไม่ได้ เขายังไม่ชวนเลย บอกจะไปกับเขาแล้ว คงไม่ใช่” 

รายงาน โดย ดารารัตน์ มหิกุล

หน้า 12 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3462 ระหว่างวันที่ 18 - 20 เมษายน 2562

รัฐบาลใหม่เสียงปริ่มนํ้า  อยู่ได้ 2 ปี ก็นับว่าเก่ง