ม.หอการค้า ชี้! "สงกรานต์" ปีนี้คึกคัก คาดเงินสะพัดกว่า 1.3 แสนล้านบาท

09 เม.ย. 2562 | 07:46 น.


ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจประเมินพฤติกรรมจับจ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้คึกคักกว่าปีที่ผ่านมา เงินสะพัดกว่า 1.3 แสนล้านบาท ห่วงปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 กระทบจังหวัดท่องเที่ยวในภาคเหนือ ขณะที่ สถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง ฉุดเศรษฐกิจโตต่ำเหลือ 3.5% ห่วงเหตุการณ์รุนแรงกระทบการท่องเที่ยวและการลงทุน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยพฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ พบว่า ผู้บริโภคยังคงเน้นซื้อของไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เยี่ยมญาติ จัดเลี้ยงสังสรรค์ และเล่นน้ำสงกรานต์ การท่องเที่ยวในประเทศมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 5,232 บาท สำหรับบรรยากาศท่องเที่ยวปีนี้ คาดว่าจะคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา ยกเว้น ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีปัญหาเรื่องฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างต่อการตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดภาคเหนือ โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เคยไปท่องเที่ยวและเล่นสงกรานต์ในภาคเหนือเป็นประจำ พบว่า 37.2% ตัดสินใจไม่ไป/และ 34% ตัดสินใจไป เนื่องจากจองที่พักไว้แล้ว และ 28.8% รอการตัดสินใจ

ทั้งนี้ ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จะกระทบต่อบรรยากาศสงกรานต์ จากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง คาดว่า เฉพาะเชียงใหม่เม็ดเงินจะหายไปประมาณ 3-5 พันล้านบาท แต่หากรวมจังหวัดใกล้เคียงที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว คาดว่าเม็ดเงินจะหายไปประมาณ 5-7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าเทศกาลสงกรานต์ปีนี้จะมีเงินสะพัด 135,837 แสนล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 132,162 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 2.78% โดยประชาชนยังคงระมัดวังการจับจ่าย เนื่องจากราคาสินค้าแพงขึ้น และจากการสำรวจว่า บุคคลสำคัญและนักการเมืองที่ประชาชนอยากรดน้ำดำหัวมากที่สุด ได้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่วนดาราที่อยากเล่นน้ำสงกรานต์ด้วยมากสุด คือ ณเดชย์ คูกิมิยะ และญาญ่า อุรัสยา

นอกจากนี้ ม.หอการค้า ยังได้ประเมินสถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้ ว่า ยังอยู่ในภาวะที่ยังไม่นิ่ง แม้ว่าจะเลือกตั้งแล้วเสร็จ แต่ก็ยังมีปัญหาบางเขตที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่และยังไม่มีการรับรองผลอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องล่าช้าออกไป หรือ เลือกตั้งกันหลายครั้ง จะมีผลทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เพราะนโยบายต่าง ๆ จะไม่ถูกขับเคลื่อน

ขณะที่ นักลงทุนก็รอดูทิศทางความชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งหากสามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้ทันในไตรมาสที่ 3 และไม่มีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก ทั้งปัญหาสงครามการค้าและเบร็กซิท คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 3.5% แต่หากเกิดความวุ่นวาย ไม่สามารถตั้งรัฐบาลใหม่ตามกรอบเพื่อมาบริหารประเทศทันในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ก็มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 3.5 % พร้อมแสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ที่มีความเห็นต่างระหว่างผู้สนับสนุนของฝ่ายการเมือง อาจเกิดการชุมนุมประท้วงได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว