สั่งทูตจับตา‘เบร็กซิท’ หาช่องเสียบสินค้าไทย
พาณิชย์สั่งทูตพาณิชย์จับตา “เบร็กซิท” ใกล้ชิด เตรียมพร้อมส่งสินค้าไทยเสียบแทนที่ตลาดอังกฤษ-อียูที่แยกตัวออกจากกัน พร้อมมั่นใจไทยได้อานิสงส์เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกประเทศที่ 3
ยังไม่มีความชัดเจนกรณีที่อังกฤษอยู่ระหว่างการดำเนินการแยกตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป หรือการทำเบร็กซิทที่เส้นตายวันที่ 12 เมษายนนี้ อังกฤษจะสามารถเจรจากับสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อขอเลื่อนเวลาการแยกตัวออกไปได้อีกหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงรองรับ (no-deal Brexit) นั้น
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แม้ว่าไทยจะทำการค้ากับอังกฤษที่มีมูลค่าไม่สูง (สัดส่วน 1.6% ไทยค้ากับโลก) ก็ตาม ขณะเดียวกันไทยควรมองอียูด้วย เพราะถ้าอังกฤษออกจากอียู สมาชิกที่ค้ากับอียูก็มีหลายประเทศ ดังนั้นได้ให้ทูตพาณิชย์จับตาดูสินค้าที่อังกฤษเคยค้ากับอียูเพื่อที่ไทยจะได้ไปเจาะตลาดที่อังกฤษไม่สามารถส่งออกไปอียูได้จากมีต้นทุนด้านการผลิต และด้านภาษีนำเข้าระหว่างกันที่สูงขึ้น ซึ่งได้ให้ทูตพาณิชย์ไปติดต่อผู้นำเข้ารายสำคัญในอียู ซึ่งจะทำเช่นเดียวกับอังกฤษที่ไม่สามารถส่งออกไปจีนได้ ก็จะหาช่องทางโอกาสส่งสินค้าไทยไปทดแทน ขณะผลจากเบร็กซิทจะทำให้นักลงทุนอังกฤษและอียูเริ่มหาฐานผลิตใหม่แทน ไทยน่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่งของทั้งอังกฤษและอียูในการเป็นฐานลงทุนส่งออกไปยังประเทศที่ 3
บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์
“การย้ายฐานการผลิตอาจจะไม่ใช่ในรูปแบบการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ทั้งหมด แต่อาจเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตเดิมที่เขามีฐานในไทยอยู่แล้วให้มากขึ้น เพื่อส่งออกไปยังประเทศที่ 3 เพราะน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าส่งกลับไปอียู ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถขยายตลาดได้มากขึ้น ในขณะที่บางส่วนที่ลงทุนในยุโรปตะวันออก ผลจากเบร็กซิทอาจจะเกิดการย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียนซึ่งรวมทั้งไทยมากขึ้น”
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการลงทุนในประเทศต่างๆของนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นเมียนมา เวียดนาม ลาว หรือแม้แต่ไทย เมื่อมีการลงทุนผลิตสินค้าก็จะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกของประเทศนั้นๆ ให้เพิ่มขึ้น ขณะที่ไทยเองมีการขยายฐานการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งไม่เคยมีการนับเป็นยอดการส่งออก ซึ่งต่อไปนี้กระทรวงจะดูการส่งออกในทุกมิติ ดังนั้นในการทำงานจากนี้กรมจะดึงข้อมูลส่วนนี้มาดูด้วย
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,459 วันที่ 7-10 เมษายน 2562
