นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทางอีอีซีกำลังเร่งสรุปการประมูลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้ง 5 โครงการ ให้ได้ผู้ชนะภายในเดือน เม.ย. 2562 นี้ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและนำไปสู่การลงนามกับเอกชนที่ชนะประมูลต่อไป โดยในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น คาดว่า อีก 2 สัปดาห์ น่าจะได้ข้อยุติ เนื่องจากกลุ่มซีพีขอเวลาหารือกับพันธมิตรด้านการเงิน 2 ราย ได้แก่ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) และธนาคารเพื่อการพัฒนาประเทศจีน ที่จะขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา เพื่อลดความเสี่ยงด้านการลงทุน
ขณะที่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่าโครงการ 2.9 แสนล้านบาทนั้น เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการเข้ามายื่นข้อเสนอ ซึ่งข้อเสนอทั้ง 4 ซอง จะประเมินผลแล้วเสร็จในเดือน เม.ย. นี้
⇲ คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)
ส่วนโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา หรือ เอ็มอาร์โอ ที่เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับบริษัท แอร์บัสฯ นั้น อยู่ระหว่างจัดทำร่างสัญญาฉบับสุดท้าย เพื่อลงนามความร่วมมือกับแอร์บัส และจะนำเสนอ ครม. ได้ในเดือน เม.ย. นี้เช่นกัน รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 กำลังเข้าสู่การเจรจาซองที่ 4 คาดว่าจะได้ข้อยุติในเดือน เม.ย. นี้ รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่จะยื่นข้อเสนอในวันที่ 29 มี.ค. นี้ด้วย
"โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่มีความล่าช้า เนื่องจากเป็นการลงทุนของภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ต้องพิจารณาในผลตอบแทนอย่างรอบคอบ ผิดกับอีก 4 โครงการ ที่เป็นการลงทุนของภาคเอกชน จะต้องเสนอผลตอบแทนภาครัฐในอัตราที่สูงที่สุด ถึงจะเป็นผู้ชนะ อย่าง โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ผู้ที่ชนะต้องเสนอผลตอบแทนรัฐไม่น้อยกว่า 5.9 หมื่นล้านบาท เป็นต้น ทำให้พิจารณาได้เร็วกว่า"
นายคณิศ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่า ช่วงรอยต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะทำให้การขับเคลื่อนอีอีซีเกิดการสะดุดนั้น โดยในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รัฐบาลชุดนี้ยังสามารถมีอำนาจเต็มในการบริหารงานต่อไปได้ จนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ ดังนั้น ระยะเวลาที่เหลืออยู่มีเพียงพอที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบทั้ง 5 โครงการ และลงนามในสัญญาได้ อีกทั้งมี พ.ร.บ.อีอีซี รองรับการดำเนินงานของคณะกรรมการอีอีซี มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพรรคไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ อยากให้มองผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งมากกว่า เพราะจากการลงทุน 5 โครงการ เงินลงทุนรวม 6.5 แสนล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า รัฐจะได้ผลตอบแทนจากโครงการราว 4.5 แสนล้านบาท มีรายได้เข้าสู่คลังไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ อีกไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท และเกิดการลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อีก 5 แสนล้านบาท จะสร้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 450,000 ตำแหน่ง
……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,455 วันที่ 24 - 27 มี.ค. 2562 หน้า 15
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลใน "สนามบินอู่ตะเภา"
● 3 บิ๊กทุนชิง 'อู่ตะเภา' ... 'หมอเสริฐ' ผนึก 'บีทีเอส' ชน 'ซีพี' ... 'ไทยแอร์เอเชีย' จับมือ 4 พันธมิตรสู้