"ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล" ประหยัดงบ-ลดต้นทุนพลังงาน 80-85%

10 มี.ค. 2562 | 08:44 น.

"ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" เผยผลจากการศึกษา "ปฏิรูปสู่ดิจิทัล" ประหยัดต้นทุนสูง 80% ทั้งค่าวิศวกรรมและการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เวลา และยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานการใช้พลังงานได้สูงถึง 85%

"ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล" ประหยัดงบ-ลดต้นทุนพลังงาน 80-85%

รายงานข่าวจาก "ชไนเดอร์ อิเล็คทริค" ทำวิจัยในรายงาน Global Digital Transformation Benefits Report 2019 รายงานเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิรูปสู่ดิจิทัลทั่วโลก ประจำปี 2019 ซึ่งทำสำรวจโครงการของลูกค้า 230 โครงการ 41 ประเทศ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า การปฏิรูปอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจ ทั้งในเชิงลึกและในเชิงปริมาณ จากการใช้ EcoStruxure ซึ่งเป็นทั้งแพลตฟอร์มและสถาปัตยกรรมของ "ชไนเดอร์ อิเล็คทริค"

นายฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า หัวใจสำคัญของรายงานดังกล่าว คือ ประโยชน์หลักที่ธุรกิจจะได้รับจากการปฏิรูปสู่ดิจิทัลใน 12 เรื่อง ซึ่งแยกออกเป็น 3 ประเภท แต่ละประเภทล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CapEx) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OpEx) รวมถึงประเด็นความยั่งยืน ความเร็ว และประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การรายงานมุ่งเน้นที่ 4 กลุ่มหลักที่มีผลต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งหมดอยู่ระหว่างการปฏิรูป ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นฐาน ทั้งเรื่องวิถีการใช้ชีวิตของผู้คน รวมถึงการทำงานและการพักผ่อน
 

"ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล" ประหยัดงบ-ลดต้นทุนพลังงาน 80-85%

การศึกษาครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ทางวิศวกรรมไปสู่ระบบดิจิทัล สามารถช่วยธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนและใช้เวลาได้อย่างเหมาะสมได้ถึง 35% โดยเฉลี่ย และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้สินทรัพย์และระบบงานใหม่เฉลี่ยถึง 29%

การศึกษายังเผยให้เห็นว่า การเปลี่ยนกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิทัลเพื่อควบคุมการใช้ IoT ให้ผลลัพธ์ในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้มาก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยทั้งองค์กรและภาคธุรกิจต่างรายงานถึงการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของการใช้พลังงานได้ถึง 24% ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการปรับปรุงกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิทัล

ในการประยุกต์ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม การปฏิรูปสู่ดิจิทัล ช่วยให้องค์กรธุรกิจใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น เช่น เพิ่มผลผลิตมากขึ้นแต่ใช้พลังงานน้อยลง ใช้วัตถุดิบน้อยลง ใช้แรงงานต่อชั่วโมงน้อยลง โดยสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากถึง 50% เหล่านี้เป็นผลที่ได้จากประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่นผ่านห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain) ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการติดตาม IoT ตลอดจนการช่วยให้สายการผลิตดำเนินงานได้โดยอัตโนมัติ

เรื่องราวที่น่าสนใจมากขึ้นที่ปรากฏในผลรายงานเกี่ยวกับพลังแห่งดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ก็คือ เมื่อธุรกิจก้าวเข้าสู่ดิจิทัล ทั้งการบริหารจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ทั้ง 2 ส่วน ทำงานผสานกัน เพื่อขับเคลื่อนสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นคุณค่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การปฏิรูปสู่ดิจิทัลเป็นหนทางเดียวที่จะสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพให้กับทั้งบริษัท ด้วยเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือ IoT รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ทำให้หลายบริษัทสามารถสร้างประสิทธิภาพและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน

"รายงานนี้ ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจและองค์กรมากมายล้วนต้องการอำนาจที่เชื่อมั่นได้ในการบริหารจัดการความซับซ้อน เพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพการปฏิรูปสู่ดิจิทัลได้อย่างเต็มพิกัด ซึ่งเทคโนโลยีของเราสร้างบน EcoStruxure™ ช่วยควบคุมพลังแห่งดิจิทัล ช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้น มีความน่าเชื่อถือ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ทั้งหมด ให้ความยั่งยืน นับว่าเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่นี้อย่างแท้จริง"

"ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล" ประหยัดงบ-ลดต้นทุนพลังงาน 80-85%