‘อินเด็กซ์’ ปักหมุดเทรดแฟร์กัมพูชา

“อินเด็กซ์” ลุยจัดงานเทรดแฟร์กัมพูชาต่อเนื่องครั้งที่ 4 หลังเห็นแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ 7% มานานเกือบ 10 ปี ด้านกระทรวงพาณิชย์กรุงพนมเปญเผยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคไทยยังครองสัดส่วนการตลาดอันดับ 1 หวั่นปัญหาสิทธิประโยชน์ทางภาษีอนาคตส่งผลกระทบต่อนักธุรกิจเสื้อผ้าส่งออก
 

ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศกัมพูชาในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 7% โดยอัตราการเติบโตมาจากนโยบายรัฐบาลเปิดกว้าง ทรัพยากรสมบูรณ์ ขณะเดียวกันการเติบโต GDP ยังมาจากอุตสาหกรรมเกษตร การส่งออกจากฐานการ ผลิต (สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า) และการท่องเที่ยว และเมื่อมาดูผลรายได้เฉลี่ยประชากรต่อคนเพิ่มจาก 650 ดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2550 เป็น 1,435 ดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2560 ซึ่งสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

เกรียงไกร กาญจนะโภคิน

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ไอซีเว็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออินเด็กซ์ได้จัดงาน แคมโบเดีย อาร์คิเทค แอนด์ เดคคอร์ 2016 (Cambodia Architect and Decore 2016) ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 เนื่อง จากเล็งเห็นโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจกัมพูชาและการ ลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องของประเทศนี้ ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายงานเพิ่มเป็นงานแฟร์รูปแบบธุรกิจอื่นๆ เพิ่ม เนื่องจากบริษัทมองว่าประเทศกัมพูชายังเติบโตได้อีกนานเนื่องจากที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ย 7-8% มานานเกือบ 10 ปี

ขณะที่นายจิรวุฒิ สุวรรณอาจ ผู้อำนวยการสำนัก งานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ณกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า โอกาสของนักธุรกิจไทยที่เข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชายังคงเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยปัจจุบันสินค้าอุปโภคบริโภคประเทศไทยยังคงสามารถครองแชมป์สินค้ากลุ่มนี้อันดับ 1 ทีครองสัดส่วนการตลาดราว 40% เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศกัมพูชาให้ความเชื่อมั่นสินค้าไทย
 

อีกทั้งพฤติกรรมคนในกัมพูชายังรับชมทีวีของประเทศไทยโดยเฉพาะช่อง 7 และช่อง 9 ซึ่งการตัดสินใจซื้อมาจากการโฆษณาแบรนด์สินค้าต่างๆผ่านทีวี ดังนั้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจะมีอัตรการเติบโตต่อเนื่อง และเป็นโอกาสของนักธุรกิจไทย อีกทั้งกลุ่มสินค้าที่น่าสนใจอีกประเภทคือกลุ่มอุตสาหกรรมการออกแบบตกแต่งภายใน เนื่องจากไทยมีเอกลักษณ์ชัดเจนด้านนี้

ทั้งนี้ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เกิดการลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนประเทศจีนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลการลงทุนสะสมที่ผ่านมา อันดับ 1 คือ ประเทศจีน ขณะที่ประเทศไทยมีอันดับการลงทุนอยู่อันดับ 8 เนื่องจากติดปัญหาด้านงบการลงทุน และการทำงานที่ไม่ลงตัวกับพาร์ตเนอร์
 

สิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษและค่อนข้างน่ากังวลคือเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้ออกมาประกาศเตรียมตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี (EBA) ประเทศกัมพูชา ในปี 2563 ซึ่งปัจจุบันภาษี 0% หลังจากประกาศอย่างชัดเจนจะส่งผลให้ภาษีขยับขึ้นเป็น 12.5% และจะส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนที่ตั้งฐานผลิตสินค้าเสื้อผ้าส่งออกจะมีต้นทุนสูง และอาจย้ายฐานการผลิต ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มนักธุรกิจไทยที่เกี่ยวข้องที่มาตั้งโรงงานในประเทศกัมพูชา 3-5 ราย อาทิ KKN, ศรีโสภณ เป็นต้น อาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าว รวมถึงแรงงานในกัมพูชาที่ปัจจุบันมีจำนวนคนทำงานด้านนี้กว่า 1 ล้านราย 
 

หน้า 32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3450 ระหว่างวันที่ 7 - 9 มีนาคม 2562