วันนี้ (4 มี.ค. 2562) เมื่อเวลา 13.30 น. นายฌาก ลาปูฌ (Mr. Jacques Lapouge) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับออท.ฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ออท.ฝรั่งเศสเคยนำคณะสภาธุรกิจไทย-ฝรั่งเศส เข้าพบนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงประชาชนที่เมืองสตราสบูร์ก เมื่อเดือนธันวาคม 2561 สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรง และภัยคุกคามไม่มีขอบเขตพรมแดน และมีผลกระทบต่อทุกชาติ ดังนั้น ประชาคมโลก รวมทั้งไทยและฝรั่งเศสต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิดในทุกมิติ รวมถึงการต่อต้านภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ
โอกาสนี้ ออท.ฝรั่งเศสแสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยและประชาชนไทย ในการต้อนรับอย่างอบอุ่นตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่ง ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง และการหารือในระดับผู้นำระหว่างสองประเทศในโอกาสต่าง ๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยการเยือนฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรีในปีที่ผ่านมา ได้ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในทุกมิติ ทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้ ออท.ฝรั่งเศสกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงพร้อมจะมาเยือนประเทศไทยในช่วงที่ไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ซึ่งจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอีกด้วย
ออท.ฝรั่งเศสกล่าวถึงเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับฝรั่งเศสว่า มีความสัมพันธ์กันมายาวนาน และหวังว่าการค้าการลงทุนของทั้งสองประเทศจะก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยขณะนี้ภาคเอกชนของฝรั่งเศสต่างแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะในเขต EEC ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ในการเป็นหุ้นส่วนสำคัญของไทย พร้อมขอให้เชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย และให้ความมั่นใจในโอกาสการแข่งขันที่เท่าเทียมโปร่งใส และเป็นธรรม นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังประสงค์ให้ฝรั่งเศสถ่ายทอดองค์ความรู้ในสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม การศึกษาและอาชีวะ เพื่อพัฒนาบุคลากรและทรัพยากรมนุษย์ของไทยให้พร้อมรองรับการเติบโตของพื้นที่ EEC ในอนาคต
ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้ฝากความระลึกถึงไปยังนายเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสด้วย