| คอลัมน์ : Move On
| เรื่อง : จริงหรือ? "เทมาเส็ก" ยอมเท "ไทยคม"
| โดย : คนท้ายซอย
……………….
เสียงร่ำลือเริ่มดังขึ้นเป็นลำดับ เมื่อ
"เทมาเส็ก โฮลดิ้ง" ซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (ชื่อเดิม บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) ผ่านบริษัท สิงค์เทล โกบอล อินเวสเม้นท์ ในสัดส่วน 21% และบริษัท แอสแพน โฮลดิงส์ จำกัด จำนวน 3.19% โดยธุรกิจเรือธงของอินทัชฯ ประกอบด้วย เอไอเอส และไทยคม ที่บอกว่าร่ำลือ เนื่องจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กำลังทาบทามขอซื้อหุ้นใน บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) จากกองทุนเทมาเส็ก ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท
มูลเหตุที่มาของเรื่องนี้
น่าจะเกิดจาก "แคท" ได้เงินก้อนโต จำนวน 9.5 พันล้านบาท จาก ดีแทค หรือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อยุติข้อพิพาทกับแคท ที่ได้รับสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 850 และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ แม้สัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อเดือน ก.ย. 2561
อันที่จริงการซื้อดาวเทียม
"ไทยคม" ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ถ้าจำกันได้ช่วงที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ทำรัฐประหารในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (ปัจจุบันถูกถอดยศ) เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2549 ใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ออกมาประกาศจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อทวงดาวเทียมไทยคม
ซึ่งถือเสมือนเป็นสมบัติของชาติคืนจาก "เทมาเสก โฮลดิ้ง"
แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล!!
หากแต่เรื่องนี้กลับมีกระแสขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในช่วงปลายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ คสช. เมื่อมีข่าวสะพัดอีกครั้ง เมื่อแคทจะเข้าไปซื้อหุ้นในไทยคม ที่เทมาเส็ก โฮลดิ้ง ถือหุ้นจำนวน 41.7% จาก อินทัชฯ เพราะรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีแนวความคิดตั้งแต่เข้ามายึดอำนาจเช่นเดียวกัน
เพราะก่อนหน้าที่เทมาเส็กจะเข้ามาซื้อหุ้น มีข่าวออกมาเช่นกันว่า ต้องการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น แต่เมื่อถูกขายพ่วงทั้งกลุ่ม เทมาเส็กจำเป็นต้องซื้อธุรกิจในกลุ่มชินคอร์ปฯ ทั้งหมด
[caption id="attachment_393385" align="aligncenter" width="500"]
[/caption]
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทางอินทัชได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปฏิเสธในเรื่องนี้ แต่ไม่ปฏิเสธว่า ไทยคมได้รับความสนใจและการติดต่อจากผู้ที่สนใจเข้าซื้อธุรกิจของบริษัทเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับข้อเสนอที่มีผลผูกพันจากนักลงทุนที่สนใจแต่อย่างใด
ถามว่า? ถ้าแคทซื้อกลับคืนมาเพื่อความมั่นคงของประเทศ อาจเป็นอีกเรื่องที่น่าคิด
แต่ถ้าให้ "แคท" ซึ่งทำธุรกิจผูกขาดมาบริหารแบบเชิงพาณิชย์ ลองตั้งคำถามว่า จะทำธุรกิจแข่งกับทุนข้ามชาติได้หรือไม่ และถ้าเข้าไปซื้อจริงและไม่เอาหุ้นออกจากตลาด ... หุ้นที่ถือกันอยู่จะมีอนาคตหรือไม่
สำหรับ
"ไทยคม" ในปี 2561 รายได้ลดลง 10% เนื่องจากการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ขณะที่ EBITDA ลดลงกว่า 16% ส่วนเหตุผลที่กำไรเติบโตสูงขึ้น เป็นเพราะการบริหารจัดการด้านต้นทุนและค่าเสื่อมที่ลดลง แต่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2561 อยู่ที่ 230 ล้านบาท จากการขายหุ้นใน บริษัท ซีเอส ล็อกอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL
แม้ผู้บริหารของทางไทยคมและแคทออกมาปฏิเสธในเรื่องนี้ก็ตาม
แต่ถ้า "แคท" ปิดดีลนี้ได้จริง! บอกได้คำเดียวว่าโดนบีบจากผู้มีอำนาจ