ต่างชาติกอดกำไร200% โบรกฯเผยตลาด‘ฟิวเจอร์ส’ ต้นตอบาทแข็ง

23 มี.ค. 2559 | 01:00 น.
นักวิเคราะห์เตือน ตลาดหุ้นเข้าสู่โหมดปรับฐาน หลังจบรอบเล่นข่าวการประชุม 3 ธนาคารกลางจับตา พ.ค.-มิ.ย. ต่างชาติทำกำไรตลาดฟิวเจอร์ส ฟันกำไร 200 % ผนวกขนเงินออกช่วงเทศกาลปันผล ตลท.รับตลาดหุ้นได้เงินร้อนต่างชาติหนุนดัชนีต้นปีถึงปัจจุบันปรับขึ้น 8-9 % บลจ.กรุงศรีฯ คาดปีนี้หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 14 %

[caption id="attachment_39856" align="aligncenter" width="700"] บจ.ที่มีมูลค่าเงินปันผลปี 2558 สูงสุด 5 อันดับแรก บจ.ที่มีมูลค่าเงินปันผลปี 2558 สูงสุด 5 อันดับแรก[/caption]

การประชุม 3 ธนาคารกลางผ่านไปแล้วทั้ง สหภาพยุโรป (อีซีบี) ที่อัดยาแรงทั้งลดอัตราดอกเบี้ย, เพิ่มวงเงินผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ หรือคิวอี และการออกโครงการเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำรอบ 2 (TLTRO II) ส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ไม่มีการผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ ขณะที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาดเช่นกัน

ด้านมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่อทิศทางการลงทุนถัดจากนี้ จะเข้าสู่โหมด "Wait & See" หรือรอมากขึ้น เพื่อดูผลลัพธ์จากที่ออกมาตรการผ่อนคลายการเงินก่อน และเพื่อติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด กล่าวเตือนนักลงทุนว่าให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากยังมีความผันผวนอยู่ และเชื่อว่าไตรมาส 2 ตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานอีกครั้ง

ทั้งนี้ เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาจนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่านั้น พบว่าไม่ได้ไหลเข้าลงทุนในหุ้น แต่เข้าไปเก็งกำไรในตลาดฟิวเจอร์ส เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยได้เปิดสถานะซื้อล่วงหน้าตั้งแต่เดือนมกราคม ที่ผ่านมา ช่วงดัชนี SET 50 อยู่ที่ระดับ 700 จุด จนขณะนี้ดัชนี SET50 ขึ้นมาอยู่ที่ 800 จุด นักลงทุนต่างชาติได้ผลตอบแทนไปแล้ว 200% คาดว่าเงินทุนจะไหลออกในช่วงเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน โดยปกติจะเป็นช่วงต่ำสุดของตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะเป็นฤดูกาลจ่ายเงินปันผล คาดว่าเงินจะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3/59 และจะเห็นดัชนีกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง

สอดคล้องกับนางสาวธีระดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มกระแสเงินทุน(ฟันด์โฟลว์)ของนักลงทุนต่างชาติ จะเป็นลักษณะของการซื้อสลับขายเป็นรอบ ๆ เช่น ซื้อสะสมราว 2 หมื่นล้านบาท จึงเห็นภาพขายทำกำไรออกมาบ้าง ดังนั้นคาดว่าแนวโน้มหุ้นไทยแกว่งผันผวนมากขึ้น หลังนักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไร

อย่างไรก็ตามคาดว่าได้ตัวช่วยจากฤดูกาลจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่เข้มข้มมากขึ้นในไตรมาส 2 นี้ โดยใน 1-2 สัปดาห์นี้ น่าจะมีข้อสรุปการประมูลรถไฟฟ้าสายสีเหลืองกับสีชมพูออกมา ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดว่าน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม 1.5% เพราะกนง. กำลังจับตาดูอัตราเงินเฟ้อที่น่าจะขยายตัวดีขึ้น หลังราคาน้ำมันโลกฟื้นตัว

ด้านดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 7.6 พันล้านบาทนั้น มองว่าเป็นเม็ดเงินระยะสั้นที่เข้ามาลงทุนจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว เพราะยังมีความเสี่ยงในเรื่องนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆที่มีผลต่อการลงทุน ประกอบกับสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติปัจจุบันอยู่ในระดับ 30% เท่ากับช่วงที่ผ่านมา (มาร์เก็คแคปหุ้นไทย ณ 18 มี.ค.59 อยู่ที่ 13.16 ล้านล้านบาท)

โดยตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง อีกทั้งราคายังปรับลดลงมาจนถึงที่น่าสนใจมาก ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย หลังจากเป็นผู้ขายมาตลอดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผลจากเงินไหลเข้าทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 8-9%

ส่วนมุมมองของนางสาวศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กรุงศรี จำกัด ระบุว่าตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับอานิสงค์เงินไหลเข้าจากเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ล่าสุดเฟดได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม พร้อมกับส่งสัญญาณการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยได้มากสุดแค่ 2 ครั้งเท่านั้น จากเดิมที่เคยส่งสัญญาณว่าแนวโน้มการพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยจากเฟดมีโอกาสปรับดอกเบี้ยขึ้นได้มากถึง 4 ครั้ง ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของยุโรปและญี่ปุ่น ยังคงอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน ปัจจัยบวกดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการหนุนเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าช่วงนี้

ฝ่ายลงทุนบลจ.กรุงศรี มองว่า แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (อินฟราสตรัคเจอร์) ต่างๆ รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปีนี้มีโอกาสแตะที่ระดับ 3.2% ด้านตลาดหุ้นไทย คาดว่าปีนี้ให้ผลตอบแทน 11% หากรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 3 % จะทำให้ผลตอบแทนขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14% โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,432 จุด

"ยังคงแนะนำนักลงทุน ให้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับอินฟราสตรัคเจอร์ และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะเชื่อว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มในการสร้างผลตอบแทนที่ดี" กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรีฯ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,141 วันที่ 20 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2559