ไทยยูเนี่ยนฯ ทำสถิติยอดขายไตรมาสที่ 4/2561 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะภาพรวมยอดขายทั้งปี 1.33 แสนล้าน ลดลง 1.2% กำไรสุทธิหดตัว ระบุ ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและราคาวัตถุดิบปลาทูน่าผันผวน มั่นใจ! ปี 62 ยอดขายโตได้ 5%
รายงานข่าวจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู เผยถึงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2561 ว่า มียอดขาย 36,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรขั้นต้น 1,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ถือเป็นการดำเนินงานประจำไตรมาสสูงที่สุดในรอบ 2 ปี จากธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็น และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มีการปรับราคาและปรับปรุงการดำเนินงาน มีส่วนในยอดขายที่เพิ่มขึ้น
[caption id="attachment_392761" align="aligncenter" width="335"]
นายธีรพงศ์ จันศิริ[/caption]
ขณะที่ ทั้งปี 2561 บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 133,285 ล้านบาท ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกระทบต่อผลการดำเนินงาน ซึ่งหากไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนยอดขายปี 2561 จะเพิ่มขึ้น 0.5% ทั้งนี้ ปี 2561 บริษัทมีกำไรขั้นต้น 18,892 ล้านบาท ลดลง 2.2% ส่วนกำไรสุทธิในปี 2561 เท่ากับ 5,191 ล้านบาท ลดลง 13.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากราคาปลาทูน่าและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความผันผวนในช่วงไตรมาสแรกของปี
"ปีที่ผ่านมามีสภาวะตลาดที่ท้าทาย แต่เราก็ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานที่เป็นเลิศและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ผลงานที่ดีในไตรมาสที่ 4 นี้ ทำให้เรามั่นใจว่า ปี 2562 นี้ ไทยยูเนี่ยนจะต้องแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากขึ้นแน่นอน โดยไทยยูเนี่ยนประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.15 บาทต่อหุ้น รวมการจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2561 อยู่ที่ 0.40 บาทต่อหุ้น" นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวและว่า
ในปี 2561 ยอดขายในตลาดอเมริกาเหนือยังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วน 39% ของยอดขายรวม ตลาดยุโรปสัดส่วน 30% ส่วนตลาดในประเทศไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นคิดเป็น 11% และตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ สัดส่วน 20%
สำหรับในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายปกติขึ้น 5% และเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 15% บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมต่อไป เพื่อรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้อยู่ที่ระดับ 10% ซึ่งจะส่งผลให้กำไรฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้