'สมคิด' สั่ง สศช. ปฏิรูปโครงสร้าง ศก.ไทย พบผิดปกติ ตั้งวอร์รูมแจ้งเตือน

21 ก.พ. 2562 | 09:45 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

'สมคิด' สั่ง สศช. ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดพึ่งพาส่งออก หันมาโฟกัสการเติบโตจากภายในประเทศ ระดมนักเศรษฐศาสตร์คลังสมองปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศ หากพบสัญญาณผิดปกติ ตั้งวอร์รูมแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายคณะผู้บริหาร สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากกว่า 4% ต่อเนื่อง นับเป็นเรื่องที่ยาก เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังมีปัญหา เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม สศช. ต้องวางบทบาทของตัวเองให้เป็นหน่วยงานกลางศึกษาแนวทางออกมาให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะจุดอ่อนในการพึ่งพาการส่งออก จำนวนสินค้า ประเภทสินค้า เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจในประเทศกับพึ่งพาภาคการส่งออก เชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคการเกษตร เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับสร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีรองรับกระแสโลกยุคใหม่

"ยอมรับว่า ไทยเน้นพึ่งพาการส่งออกสูงมาก มีสัดส่วนภาคการส่งออกถึง 70% ของจีดีพี ขณะที่ การพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศยังมีสัดส่วนที่น้อย เมื่อเกิดปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจ ประเทศคู่ค้าไทยจึงได้รับผลกระทบไปด้วย"


44สมคิด

ด้าน นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบาย สศช. เป็นหน่วยงานกลางออกแบบแนวคิดให้เป็นรูปธรรม (Think Tank) ด้วยการแยกแต่ละเรื่องนำออกมาปฏิบัติให้ชัดเจน ทั้งการพัฒนาทุนมนุษย์ ระบบเศรษฐกิจ การบริหารงานความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคและท้องถิ่นให้มีความเชื่อมโยงกัน โดยให้ สศช. เป็นผู้ศึกษาและจัดทำแผนออกไปสู่การปฏิบัติของส่วนราชการผ่านสถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา ซึ่งจะเริ่มตั้งขึ้นมาเดือน เม.ย. 2562

"สศช. ต้องทำงานเชิงรุกในฐานะหน่วยงานที่มีข้อมูลเฉพาะด้านการค้าการลงทุน หากพบสัญญาณผิดปกติให้รีบแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชน รีบเข้ามาหารือเพื่อเตรียมรับมือให้ทันท่วงที และเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เกิดความสมดุล ไม่พึ่งพิงด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศและเป็นผู้นำพัฒนาศักยภาพในกลุ่ม CLMV"


55ทศพร

สำหรับการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากกำหนดไว้ 3 แนวทาง คือ 1.ยกระดับห่วงโซ่การผลิตของไทยไปสู่ระดับโลก ด้วยการส่งเสริม Bio Economy หรือ การแปรรูปทางการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและวัตกรรม ช่วยเหลือภาคการเกษตร สร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเเข่งขันให้กับภาคการเกษตรให้ชาวบ้าน ส่งเสริมให้ชาวบ้านเกิดการรวมกลุ่มกันเป็น Cluster ห่วงโซ่พึ่งพาซึ่งกันและกัน

2.การต่อยอดของเดิมที่มีศักยภาพ นำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ 3.การสร้างธุรกิจใหม่ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการสนับสนุนโมเดลธุรกิจ E-Commerce และการส่งเสริมให้มีการทำธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprises หรือ SE มากขึ้น เพื่อให้ชุมชนได้รับประโยชน์ในการเติบโตของธุรกิจ เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนและปัญหาที่ดินทำกิน รวมถึงเดินหน้าหลายโครงการที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภูมิภาค เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ

ติดตามฐาน