เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ถึงตอนนี้การออกแรงทำคลอด “พ.ร.บ.ข้าว” ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นผู้เสนอ และพยายามผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 วันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2562 มีสัญญาณว่า คงจะลำบากยากเย็น ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา และทำให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องมี “ของร้อน” ในมือ โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
การที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาเป็นกองหนุนให้กับ สนช.โดยระบุว่า “วันนี้เป็นการนำสิ่งที่ไม่ใช่กฎหมายตัวจริงมาเผยแพร่ ทำให้เกิดความเกลียดชังกันทั่วไปหมด ทั้งที่เจตนารมณ์ของ สนช. และรัฐบาล มุ่งหวังดูแลเกษตรกรให้มากขึ้น ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ว่าใคร และไม่ได้มีผลกระทบกับเกษตรกร ทั้งการเก็บเมล็ดพันธุ์ การแลกเปลี่ยน และการขายเมล็ดพันธุ์ เพียงแต่ไปดูส่วนที่เป็นภาคเอกชนว่า จะทำอย่างไร”
คำยืนยันของนายกฯ ที่แสดงเจตนาดีว่า “รัฐบาลมุ่งหวังที่จะดูแลเกษตรกร แต่จำเป็นต้องมีกระบวนการ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ขณะที่ สนช. เองก็ไม่ได้มุ่งหวังเอาเป็นเอาตายกับใคร วัตถุประสงค์สำคัญคือ ดูแลพี่น้องเกษตรกรไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ เราต้องไว้ใจกันตรงนี้ ถ้าไม่ไว้ใจกันเลยก็ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง 4-5 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ออกกฎหมายก็ทำอะไรกันไม่ได้อีก” ... ผมว่า ดับร้อนไม่ได้ สถานการณ์เลยเถิดไปใหญ่ อันเกิดจากการขาดทำความเข้าใจกับสังคม และชาวนา 15 ล้านคน
ผมเห็นว่า...มนต์ขลัง ยันต์การันตีของนายกฯ ลุงตู่ มีนํ้าหนักที่ลดลงเสียแล้วในเวลานี้ ขืนมีการดันทุรังทำคลอดกฎหมายฉบับนี้ในการประชุม วาระ 2-3 ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ ตามที่ คุณพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ออกมาให้ข่าว ว่า สนช.จะเดินหน้าบรรจุเป็นวาระในการพิจารณาออกกฎหมาย ผมว่า...ยุ่งตายห่ะ!
การออกกฎหมายมากำกับดูแลข้าวนั้น เป็นประเด็นสาธารณะ (Public Policy) ที่กระทบกับชาวนาทั้งประเทศกว่า 15 ล้านคน และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก จำเป็นต้องละเอียด รัดกุม และเพิ่มการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้มากกว่านี้
การออกกฎหมายที่กระทบกับธุรกิจข้าว ทั้งชาวนา และพ่อค้าที่มียอดการส่งออกปีละ 10-11 ล้านตัน มูลค่าเฉลี่ยปีละ 5,600-5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือตกประมาณ 1.7-1.8 แสนล้านบาทนั้น จำเป็นต้องตกผลึกในเรื่องทิศทางการพัฒนา และการสร้างมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบอาชีพในอนาคต...มิใช่จำกัดวงแคบแค่ สนช. ชาวนา ข้าราชการ เพียงไม่กี่คน
อีกทั้งนับตั้งแต่มีการเสนอร่างกฎหมายข้าวฉบับนี้ มีการปรับเปลี่ยน แก้ไขในหลักการ แนวคิด และการบังคับใช้ของกฎหมายในรายมาตรา จนแทบจะไม่เหลือหลักการและเหตุผลสำคัญ นอกจากการมอบอำนาจในการกำกับดูแล วิจัย อนุญาต ตรวจสอบ ให้กับกรมการข้าวอย่างเต็มแม็ก จากเดิมเป็นกรมวิชาการเกษตร และกรมการค้าภายใน...ซึ่งมิได้มีคุณูปการต่ออาชีพชาวนา หากแต่อาจจะเปิดทางให้ข้าราชการใช้ดุลพินิจมากขึ้น ....
นอกจากนี้ สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุง ตัดทิ้งไปแบบยกมาตรา นับนิ้วได้เกือบ 20 มาตรา แม้แต่คำปรารภยังมีการแก้ไข....
มาตรา 2-12 ถูกแก้ไขและตัดออกไปหมด มาตรา 13, 14 ถูกตัดออก มาตรา 16 ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่กรมการข้าว ถูกแก้ไข มาตรา 19 มาตรา 20 ที่กำหนดให้ผู้รับซื้อข้าวเปลือกออกใบรับซื้อข้าวเปลือกทุกครั้งและให้ส่งสำเนาใบรับซื้อข้าวเปลือกให้กรมการข้าว แก้ไข มาตรา 21-23 ถูกตัดออก มาตรา 27/1, 27/2, 27/3 ที่ถูกต่อต้านในเรื่องการขาย เก็บรวบรวม สายพันธุ์เมล็ดข้าว...ที่บรรดาเกษตรกร นักวิชาการวิตกกังวล ถูกตัดออกไปแทบทั้งหมด...และมีการแก้ไขใหม่ มาตรา 28, 29, 30 ถูกตัดออกเหี้ยน...แล้วจะเหลืออะไรในกฎหมายนี้...ไม่มีก็ไม่เป็นไร คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ทำงานได้อยู่แล้ว
[caption id="attachment_392217" align="aligncenter" width="500"]
[/caption]
นี่ไม่นับถึงข้อทักท้วงในเรื่องร่างกฎหมาย ที่ยังไม่มีบทบัญญัติที่จะสะท้อนออกมาว่า จะสนับสนุนการพัฒนาส่งเสริมอาชีพชาวนาให้เห็นถึงการเจริญเติบโตในอาชีพ มีความมั่นคง มองเห็นถึงอนาคต ในกฎหมายยังไร้ซึ่งข้อบัญญัติใดๆในการสนับสนุน ส่งเสริม สร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่มาประกอบอาชีพทำนาทดแทนคนรุ่นเก่าที่เข้าสู่วัยชรา ขาดการส่งเสริมการพัฒนาในระบบห่วงโซ่การผลิตข้าว
ไม่มีแม้กระทั่งการสนับสนุนการผลิตที่อิงแอบกับเทคโนโลยี หรือการมีสิทธิพิเศษใดๆ จากการคิดค้น สร้างนวัตกรรม ที่ได้รับการคุ้มครองของกฎหมายข้าว
ไม่มีแม้กระทั่งกองทุนใดๆ ที่จะใช้อำนาจของคณะกรรมการนโยบายข้าวที่เป็นแก่นแกนของกฎหมาย มาสร้างกองทุนในการพยุงราคา พัฒนาสายพันธุ์ หรือดูแลผู้ประกอบอาชีพทำนาโผล่ออกมาให้ชาวนาได้เห็นอนาคตอันสดใส แม้แต่น้อย...นี่จึงเป็นจุดอ่อนของกฎหมายข้าวที่กำลังออกแรงผลักดันออกมา
ดังนั้น ข้อทักท้วงต่างๆ ที่กระหนํ่ากันออกมาอย่างเป็นระบบ และหลากหลายรูปแบบในขณะนี้ จึงเป็นเรื่อง ที่รัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯลุงตู่ จะต้องเงี่ยหูฟัง และพิจารณากำหนดท่าทีให้ดี อย่าผลีผลามตาม สนช.ที่กำลังเหยียบคันเร่ง โดยบอกแต่เพียงว่าต้องการให้กรมการข้าวมีอำนาจ และเพิ่มบทบาทของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เท่านั้น เพราะท่านคือผู้นำประเทศ ถ้าท่านเดินหน้า ท่านคือผู้รับกรรม มิใช่ สนช.ที่เสนอกฎหมาย...
บรรดา สนช. 17 คน ที่เป็นกรรมาธิการก็ตัวดี ทำคลอดกฎหมายมา แต่ศึกษาไม่ทั่ว ในทีมงานมีแต่ระดับผู้อำนวยการ นิติกรทำงานเฉพาะส่วน และส่วนใหญ่คนตัวเล็กทั้งสิ้น การดิ้นสู้ไปในขณะที่สาระของกฎหมาย แทบจะเหลือแต่ซาก ต้องเงี่ย หูฟังให้มาก หากไม่ต้องการให้รัฐบาล คสช.มีมลทิน ชนิดที่เนื้อ ไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่ สนช.เอากระดูกมาแขวนคอ...
หากจะเดินหน้า สนช.จำเป็นต้องเพิ่มบทบัญญัติที่ทำให้ชาวนา 15 ล้านคน เห็นถึงอนาคตที่ดีและสดใสในอาชีพ ที่พวกเขาทั้งหลายพึงได้จากการออกกฎหมายมาบังคับใช้
หาไม่แล้วก็ต้องรู้จักการถอย 1 ก้าว เพื่อยืดเวลาในการพิจารณาออกไป เพื่อหาข้อมูลให้รอบคอบ อย่าเดินหมากรุก เสนอเข้าสภาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จนล้มไปทั้งกระดานโดยเด็ดขาด
ในทางการเมือง ขอบอกว่ากฎหมายฉบับนี้ กำลังเดินไปสู่ทางตัน และอาจทำให้พลังของนายกฯ ลุงตู่ ร่อยหรอลง...อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนด้วยซํ้าไป เพราะการเมืองได้ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมาในหัวใจชาวนาได้ง่ายที่สุด ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่มีพลังอำนาจการต่อรองน้อยที่สุด..อย่างดีก็สะท้อนออกมาแค่กาพย์ยานี 11 ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ประพันธ์...
“เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
นํ้าเหงื่อที่เรื่อแดง และนํ้าแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน”
| คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา
| โดย : บากบั่น บุญเลิศ
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3446 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 21-23 ก.พ.2562