KTIS ทุ่ม 70 ล้านผลิตบรรจุภัณฑ์ชานอ้อย

17 มี.ค. 2559 | 06:46 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

 

นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง  เปิดเผยว่า กลุ่ม KTIS ได้ทำการผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อยในนามของบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ KTIS ถือหุ้น 100% ก่อตั้งเมื่อปี 2546 โดยในปี 2558 มีรายได้ประมาณ 1,305 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7% ของรายได้รวมของกลุ่ม KTIS ซึ่งนับเป็นอีกสายธุรกิจหนึ่งที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเยื่อกระดาษชานอ้อยจากโรงงานนี้ได้จำหน่ายให้กับผู้ผลิตกระดาษทิชชู่ กระดาษรีมที่ใช้ในสำนักงานทั่วไป รวมไปถึงกระดาษในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งสามารถทดแทนการตัดต้นไม้ได้ถึงปีละ 32 ล้านต้น

ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยของกลุ่ม KTIS ใช้กระบวนการฟอกขาวแบบปราศจากคลอรีน อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษชานอ้อยรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานปลอดภัยต่อการบริโภค GMP & HACCP ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับนำไปทำบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่อาหาร เช่น ถ้วย จาน ชาม กล่อง ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภค และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทางกลุ่ม KTIS จึงได้เพิ่มสายการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากชานอ้อยขึ้นมา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท จะสามารถผลิตเพื่อจำหน่ายและรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 นี้เป็นต้นไป

“เราทราบกันดีว่าภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากโฟมนั้นสร้างปัญหาให้กับสภาวะแวดล้อม เพราะย่อยสลายยาก จึงมีการรณรงค์ลดใช้โฟมกันมาหลายปีแล้ว และบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยนี่แหละที่จะสามารถนำมาใช้ทดแทนโฟมได้ มีผลดีอย่างมากกับสิ่งแวดล้อม เพราะทำมาจากชานอ้อย ย่อยสลายในเวลาอันรวดเร็ว”

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม KTIS ยังไม่สามารถประเมินผลตอบแทนในเชิงของรายได้และกำไรจากโครงการนี้ได้ชัดเจนนักในขณะนี้ เนื่องจากเป็นโครงการต่อยอดจากกำลังการผลิตเยื่อชานอ้อยที่มีอยู่เดิม ดังนั้น จะต้องคำนึงถึงลูกค้าเดิมที่เคยสั่งซื้อเยื่อกระดาษชานอ้อยจากกลุ่ม KTIS ด้วย

“เราไม่ห่วงเรื่องตลาดหรือลูกค้าของบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย เพราะมีความต้องการรองรับอยู่แล้ว และการรักษาสิ่งแวดล้อมก็เป็นเทรนด์ใหญ่ของโลก แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่ม KTIS เราให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เคยเป็นพันธมิตรกับเรามานาน การเริ่มธุรกิจใหม่ของเราจะต้องส่งผลกระทบกับลูกค้าเดิมของเราน้อยที่สุด เพราะนี่คือการเติบโตอย่างมั่นคง” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว