ปั้นแบรนด์...ยืนเหนือความเสี่ยง

16 ก.พ. 2562 | 06:23 น.
คอลัมน์ผ่ามุมคิด

แบรนด์ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ท่ามกลางตลาดตั้งรับหลายปัจจัยเสี่ยง หมดเวลาคว้าได้คว้าเอา ทุกบริษัทปรับสู่ฐานกำลังซื้อของจริง ราคาและโปรดักต์ถูกเข็นขึ้นมาแข่งขันอย่างคึกคักตั้งแต่ต้นปี บมจ.แสนสิริ 1 ใน TOP 3 ตลาดที่อยู่อาศัยไทย โดยประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติ “อุทัย อุทัยแสงสุข” เชื่อว่า แม้ตลาดปีนี้จะเติบโตชะลอตัวลงในกลุ่มซื้อ เพื่อลงทุน แต่การซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองจะยังคงโตในระดับเดียวกันกับปีก่อน และปี 2562 นี้จะเป็นปีที่ได้เปรียบทางธุรกิจ เพราะลูกค้าที่ซื้ออยู่เองระยะยาวจะเลือกจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือเป็นหลักมากกว่าแบรนด์เล็ก เพราะหวังคุณภาพและการดูแลหลังการขายมาเป็นอันดับแรก

[caption id="attachment_387780" align="aligncenter" width="535"] อุทัย อุทัยแสงสุข อุทัย อุทัยแสงสุข[/caption]

ตลาดบีบปรับตัว

อุทัย กล่าวว่า เบื้องต้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ มีความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะทิศทางของจีดีพีประเทศอยู่ตั้งแต่ 3.5-4.5 เป็นฐานที่ค่อนข้างกว้าง ถ้าเทียบกับปีก่อนถือว่าไม่แตกต่าง ฉะนั้น ในแง่การลงทุนสำหรับตลาดอสังหาฯ ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง การเปิดโครงการใหม่ในทำเลต่างๆ ต้องศึกษาดีมานด์ซัพพลายอย่างดี พยายามหาตลาดที่มีความต้องการให้เจอ อีกเรื่องคือ อยากให้ระมัดระวังถึงสถานะการเงินของบริษัท เพราะแนวโน้มกำลังซื้อไม่ดีคนส่วนใหญ่ยังกู้ซื้อบ้าน การที่ดอกเบี้ยถูกปรับสูงขึ้นทุกๆ 1% ทำให้ความสามารถในการซื้อลดลงมากถึง 7-8% ส่วนปัจจัยมาตรการรัฐ ธปท.ปรับเกณฑ์การขอสินเชื่อใหม่ (LTV) เชื่อลูกค้าจะปรับตัวได้แต่ผู้ประกอบการ ก็จำเป็นต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ด้วยเช่นกัน

ขยายกลุ่มเรียลดีมานด์

ปีนี้ แสนสิริตั้งเป้ายอดขาย 3.6 หมื่นล้านบาท วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 28 โครงการ มูลค่า 4.66 หมื่นล้านบาท ทั้งในทำเลกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มากขึ้น โดยเฉพาะขยายในกลุ่มราคาไม่แพงประมาณ 70% เช่น คอนโดฯ 2-3 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว 3.5-5 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ตั้งแต่ 1 ล้านบาทปลายๆ-2.5 ล้านบาท เป็นต้นส่วนอีก 26% เป็นกลุ่มระดับราคากลาง และ 4% เป็นกลุ่มพรีเมียม แบ่งสัดส่วนแนวราบและแนวสูงเท่าๆ กัน แต่ทั้งหมดจะเน้นโปรดักต์รองรับดีมานด์การอยู่อาศัยเอง ฉะนั้นกลยุทธ์หลักคือ การนำแบรนด์แต่ละเซ็กเมนต์เป็นตัวดึงลูกค้า เช่น เศรษฐสิริ สำหรับลูกค้าระดับบน ขณะที่สิริเพลส คือ ทาวน์เฮาส์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก

“อสังหาฯ มีวงจรในการทำธุรกิจ กลุ่มคอนโดฯขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจแต่ละปี ขณะที่บ้านเดี่ยวเป็นตลาดคงที่ สิ่งที่ต้องทำคือการพยายามสร้างแบรนด์ให้สามารถกินส่วนแบ่งทางตลาดได้มากขึ้นๆ”

แบรนด์ใหญ่ได้เปรียบ

การแข่งขันด้านราคาและการพัฒนาโครงการของทุกผู้ประกอบการอย่างคึกคักในปีนี้ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการตัดสินใจมากขึ้น แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะได้เปรียบ เพราะลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่เองในระยะยาว ย่อมเลือกจากโครงการที่มีแบรนด์ใหญ่เป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับมากกว่าแบรนด์เล็ก หรือแบรนด์ใหม่ๆในตลาด ซึ่งก็เป็นทิศทางกลยุทธ์ปีนี้ด้วย ที่พยายามจะใช้แบรนด์เดิมตีตลาด แต่อาจจะลดระดับราคาลงบ้าง เพื่อให้ผู้ซื้อเข้าถึงได้มากขึ้น และที่ผ่านมาพยายามนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีรวมถึงดีไซน์ต่างๆ มาบวกไว้ในโครงการ ทำให้มีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพราะแบรนด์ถูกมองในแง่ไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่การแบ่งราคาอย่างในอดีต “คำว่า แบรนดิ้ง ไม่สามารถอธิบายด้วยคำคำเดียวได้ เพราะองค์รวมของแบรนด์ ครอบคลุมถึง โปรดักต์ บริการ คุณภาพ เทคโนโลยี และดีไซน์”

ปั้นโกลบบัลแบรนด์

อุทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายสำหรับบริษัท หลังจากจะเป็นปีแรกที่เปิดตัว “สิริ เฮ้าส์” แห่งแรกที่สิงคโปร์ เพื่อใช้เป็นช่องทางทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ที่สนใจในโครงการระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี หวังสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าเป็น
“โกลบัล แบรนด์” โดยคาดจะใช้เวลา 3-5 ปี ในการปั้นแบรนด์ให้มีคุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์ในต่างประเทศ หลังที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายในกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นอันดับ 1 ของประเทศ 1.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 51% ในช่วงปีที่ผ่านมา

หน้า 25-26 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับ 3,444 วันที่ 14-16 กุมภาพันธ์ 2562

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว