ต่อยอดความคิดหลุดกรอบ ปั้นแอพสอนภาษา ‘Jadoh’
“การเรียนภาษา ต้องทำทุกวัน ต้องทำให้เป็นนิสัย...คนที่ไปเรียนพิเศษ มันจะมีพลังวันที่ไปเรียน แต่พอกลับมาก็หาย กลับไปเริ่มที่ศูนย์ใหม่”
เรื่องนี้เป็นความจริงที่คนอยากเรียนภาษารับรู้ และมีประสบการณ์ตรงกันมาแล้ว ถ้าไม่มีเพื่อนเรียน หรือติดภารกิจโน้นนี่นั่น กว่าจะกลับไปเรียนอีกครั้ง ก็แทบจะต้องเริ่มต้นกันใหม่ หรือกลับไปตั้งต้นที่ศูนย์อีกรอบ “ศมน สุวรรณรัตน์” ผู้ร่วมก่อตั้ง แอพพลิเคชันสอนภาษา “Jadoh” รับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ดี เขาจึงนำเรื่องนี้มาเป็นคีย์สำคัญในการคิดพัฒนาแอพพลิเคชันสอนภาษา
“เราจะทำอย่างไร ให้ทุกคนไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ทุกครั้ง” นี่คือโจทย์ที่ “ศมน” ตั้งธงไว้
เรื่องของภาษา เป็นสิ่งที่คนไทยฝักใฝ่อยากเรียนรู้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จึงทำให้เกิดตำรา หลักสูตร และสถาบันสอนภาษามากมาย “ศมน” บอกว่า เขาคือหนึ่งที่ชื่นชอบภาษา และอยากเรียนรู้ ขวนขวายพัฒนาภาษาของตัวเองมาเรื่อยๆ โดยมีเกม และการ์ตูน รวมทั้งภาพยนตร์ เป็นคอนเทนต์ซัพพอร์ตให้ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ช่วงที่แอกทีฟมากๆ เขาสามารถท่องศัพท์ได้ถึงวันละ 2,000 คำ จนทำให้มีโอกาสได้ไปเป็นนักแปลการ์ตูนญี่ปุ่นมาแล้ว รวมทั้งได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นมาระยะหนึ่ง โดยไม่เคยเข้าเรียนคอร์สภาษาจริงจัง
มาก่อน
ความคิดในการพัฒนาแอพพลิเคชันสอนภาษา เริ่มมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ยังทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น “ศมน” นำประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตัวเอง และโปรแกรมภาษา SuperMemo ที่เขาเคยใช้ในการฝึกฝน และสร้างแรงบันดาลใจ จนเป็นต้นแบบให้คิดต่อยอด พัฒนาออกมาเป็นแอพพลิเคชัน Jadoh ในปัจจุบัน
“ศมน” เป็นเด็กวิศวะ ไฟฟ้า จุฬาฯ ที่ไปเพิ่มเติมความรู้ด้านการบริหาร ที่มหาวิทยาลัย นอร์ธเวสเทิร์น (Kellogg) ทักษะด้านวิศวะ ทำให้เขานำเรื่องการเรียนภาษามาสร้างระบบ จาก Algorithm หรือ แนวคิดอย่างมีเหตุมีผลของ SuperMemo ที่ดีอยู่แล้ว มาสร้างเสริมปิดจุดอ่อน ทำให้คนสนใจภาษาสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ เติมความสนุกสนานน่าสนใจด้วยคอนเทนต์ ทั้งซีรีส์ และภาพยนตร์ รวมทั้งคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมา ตามความต้องการขององค์กรหรือผู้สนใจ เข้ามาเสริม ควบคู่กับการสอดแทรกสาระ คำศัพท์ การแต่งประโยค และการออกเสียงที่ถูกต้อง โดยมีแบบทดสอบ (Quiz) สร้างการจดจำ เพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จริง โดยไม่ต้องมานั่งท่องแกรมม่า หรือบทสนทนาที่จำเจ น่าเบื่อ
“ศมน” บอกว่า Jadoh เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว และขณะนี้เปิดให้ผู้สนใจโหลดแอพพลิเคชัน และฝึกภาษาได้ฟรี ส่วนการสร้างรายได้ ขณะนี้ได้เริ่มพูดคุยกับองค์กรและพาร์ตเนอร์ที่สนใจ โดยเขาจะจัดทำคอนเทนต์ตามโจทย์ที่แต่ละองค์กรต้องการ พร้อมทั้งไปศึกษหน้างาน เพื่อให้ได้คอนเทนต์ที่เกิดประโยชน์กับผู้ใช้ได้จริง โดยแพ็กเกจคิดเป็นรายเดือนเก็บตามหัว ตามซับสคริปชั่น
“เราขายคอนเทนต์ที่แตกต่าง ที่สุดท้ายนำไปสู่เรื่องของภาษา เป้าหมายของเรา คือ อยากให้เขาใช้แล้วเห็นผล ถ้าไม่เกิดประโยชน์ ก็ไม่ต้องซื้อ...เราเป็นคนทำธุรกิจ ไม่ชอบตีหัวเข้าบ้าน หากทดลองใช้แล้วไม่ได้ผล ไม่ตอบโจทย์ เราก็ไม่อยากขาย สิ่งที่ลูกค้าได้ไปควรทำให้เขาเกิดประโยชน์และแฮปปี้”
แอพพลิเคชันสอนภาษา Jadoh ไม่ใช่งานแรกที่เขาปลุกปั้นขึ้น ก่อนหน้านี้ เขาเคยมีโอกาสทำงานด้านการเงิน เป็นผู้จัดการกองทุน จนก่อตั้ง Hatton Capital Partner ธุรกิจการลงทุนนอกตลาด (Private Equity) ซึ่งยังเป็นงานฟลูไทม์ที่บริหารเต็มตัวอยู่ รวมไปถึงการช่วยเสริมงานบางส่วนของธุรกิจครอบครัว ที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็ก โดยเป็นผู้วางระบบการเพิ่มประสิทธิภาพงาน และประสิทธิภาพคน ซึ่ง “ศมน” มีแนวคิดที่จะพัฒนาขึ้นเป็นระบบจริงจัง
ต่อไป
ในมุมมองการสร้างงานของผู้บริหารนักคิดคนนี้ คือ ความต้องการทำงานที่สามารถใช้ทักษะความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์ หากเขามองเห็นปัญหา และคิดว่าสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ดีกว่าคนอื่น ก็จะเข้าไปทำ และต้องให้ได้อย่างน้อย 95% ถ้าไม่ได้ ก็คือ ไม่อยากทำ
หน้า 22-23 ฉบับที่ 3,444 วันที่ 14 - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
เรื่องนี้เป็นความจริงที่คนอยากเรียนภาษารับรู้ และมีประสบการณ์ตรงกันมาแล้ว ถ้าไม่มีเพื่อนเรียน หรือติดภารกิจโน้นนี่นั่น กว่าจะกลับไปเรียนอีกครั้ง ก็แทบจะต้องเริ่มต้นกันใหม่ หรือกลับไปตั้งต้นที่ศูนย์อีกรอบ “ศมน สุวรรณรัตน์” ผู้ร่วมก่อตั้ง แอพพลิเคชันสอนภาษา “Jadoh” รับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ดี เขาจึงนำเรื่องนี้มาเป็นคีย์สำคัญในการคิดพัฒนาแอพพลิเคชันสอนภาษา
“เราจะทำอย่างไร ให้ทุกคนไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ทุกครั้ง” นี่คือโจทย์ที่ “ศมน” ตั้งธงไว้
เรื่องของภาษา เป็นสิ่งที่คนไทยฝักใฝ่อยากเรียนรู้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จึงทำให้เกิดตำรา หลักสูตร และสถาบันสอนภาษามากมาย “ศมน” บอกว่า เขาคือหนึ่งที่ชื่นชอบภาษา และอยากเรียนรู้ ขวนขวายพัฒนาภาษาของตัวเองมาเรื่อยๆ โดยมีเกม และการ์ตูน รวมทั้งภาพยนตร์ เป็นคอนเทนต์ซัพพอร์ตให้ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ช่วงที่แอกทีฟมากๆ เขาสามารถท่องศัพท์ได้ถึงวันละ 2,000 คำ จนทำให้มีโอกาสได้ไปเป็นนักแปลการ์ตูนญี่ปุ่นมาแล้ว รวมทั้งได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นมาระยะหนึ่ง โดยไม่เคยเข้าเรียนคอร์สภาษาจริงจัง
มาก่อน
ความคิดในการพัฒนาแอพพลิเคชันสอนภาษา เริ่มมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ยังทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น “ศมน” นำประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตัวเอง และโปรแกรมภาษา SuperMemo ที่เขาเคยใช้ในการฝึกฝน และสร้างแรงบันดาลใจ จนเป็นต้นแบบให้คิดต่อยอด พัฒนาออกมาเป็นแอพพลิเคชัน Jadoh ในปัจจุบัน
“ศมน” เป็นเด็กวิศวะ ไฟฟ้า จุฬาฯ ที่ไปเพิ่มเติมความรู้ด้านการบริหาร ที่มหาวิทยาลัย นอร์ธเวสเทิร์น (Kellogg) ทักษะด้านวิศวะ ทำให้เขานำเรื่องการเรียนภาษามาสร้างระบบ จาก Algorithm หรือ แนวคิดอย่างมีเหตุมีผลของ SuperMemo ที่ดีอยู่แล้ว มาสร้างเสริมปิดจุดอ่อน ทำให้คนสนใจภาษาสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ เติมความสนุกสนานน่าสนใจด้วยคอนเทนต์ ทั้งซีรีส์ และภาพยนตร์ รวมทั้งคอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมา ตามความต้องการขององค์กรหรือผู้สนใจ เข้ามาเสริม ควบคู่กับการสอดแทรกสาระ คำศัพท์ การแต่งประโยค และการออกเสียงที่ถูกต้อง โดยมีแบบทดสอบ (Quiz) สร้างการจดจำ เพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ได้จริง โดยไม่ต้องมานั่งท่องแกรมม่า หรือบทสนทนาที่จำเจ น่าเบื่อ
“ศมน” บอกว่า Jadoh เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว และขณะนี้เปิดให้ผู้สนใจโหลดแอพพลิเคชัน และฝึกภาษาได้ฟรี ส่วนการสร้างรายได้ ขณะนี้ได้เริ่มพูดคุยกับองค์กรและพาร์ตเนอร์ที่สนใจ โดยเขาจะจัดทำคอนเทนต์ตามโจทย์ที่แต่ละองค์กรต้องการ พร้อมทั้งไปศึกษหน้างาน เพื่อให้ได้คอนเทนต์ที่เกิดประโยชน์กับผู้ใช้ได้จริง โดยแพ็กเกจคิดเป็นรายเดือนเก็บตามหัว ตามซับสคริปชั่น
“เราขายคอนเทนต์ที่แตกต่าง ที่สุดท้ายนำไปสู่เรื่องของภาษา เป้าหมายของเรา คือ อยากให้เขาใช้แล้วเห็นผล ถ้าไม่เกิดประโยชน์ ก็ไม่ต้องซื้อ...เราเป็นคนทำธุรกิจ ไม่ชอบตีหัวเข้าบ้าน หากทดลองใช้แล้วไม่ได้ผล ไม่ตอบโจทย์ เราก็ไม่อยากขาย สิ่งที่ลูกค้าได้ไปควรทำให้เขาเกิดประโยชน์และแฮปปี้”
แอพพลิเคชันสอนภาษา Jadoh ไม่ใช่งานแรกที่เขาปลุกปั้นขึ้น ก่อนหน้านี้ เขาเคยมีโอกาสทำงานด้านการเงิน เป็นผู้จัดการกองทุน จนก่อตั้ง Hatton Capital Partner ธุรกิจการลงทุนนอกตลาด (Private Equity) ซึ่งยังเป็นงานฟลูไทม์ที่บริหารเต็มตัวอยู่ รวมไปถึงการช่วยเสริมงานบางส่วนของธุรกิจครอบครัว ที่ทำเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็ก โดยเป็นผู้วางระบบการเพิ่มประสิทธิภาพงาน และประสิทธิภาพคน ซึ่ง “ศมน” มีแนวคิดที่จะพัฒนาขึ้นเป็นระบบจริงจัง
ต่อไป
ในมุมมองการสร้างงานของผู้บริหารนักคิดคนนี้ คือ ความต้องการทำงานที่สามารถใช้ทักษะความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์ หากเขามองเห็นปัญหา และคิดว่าสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ดีกว่าคนอื่น ก็จะเข้าไปทำ และต้องให้ได้อย่างน้อย 95% ถ้าไม่ได้ ก็คือ ไม่อยากทำ
หน้า 22-23 ฉบับที่ 3,444 วันที่ 14 - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
