“ดร.เจษฎ์”แนะกกต.เร่งพิจารณาปม“ทษช.”ทำผิดก.ม.หรือไม่
“ดร.เจษฎ์”แนะกกต.เร่งพิจารณาดำเนินการทางกฎหมาย ปมพรรคไทยรักษาชาติ เสนอชื่อนายกฯ ผิดก.ม.เลือกตั้งหรือไม่ ชี้คู่แข่งไม่ควรนำมาโจมตี-สร้างความได้เปรียบ ด้าน กกต.นัดถกจันทร์นี้
หลังมีประกาศพระราชโองการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวางกูร เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ช่วงค่ำของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562
กรณีพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) มีมติและยื่นพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีพระราชโองการสถาบันพระมหากษัตริย์ฯ ระบุการดึงสมาชิกพระบรมราชวงศ์ไปเกี่ยวข้องการเมือง "เป็นการกระทำมิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง" ประกอบระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการหาเสียงเลือกตั้งส.ส.ที่ระบุในข้อ 7 ว่า "ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง"
รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ชื่อดัง ให้มุมมองในเชิงวิชาการกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องไปพิจารณาตามกระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายว่า กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร
ส่วนข้อสังเกตกกต.ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ในเรื่องนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ให้ทัศนะว่า คงพูดไม่ได้ว่าเป็นความผิดของ กกต. ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะในขณะนั้นคงไม่สามารถที่จะปฏิเสธไม่รับได้ กกต.ต้องรับไว้เพื่อพิจารณาก่อนที่จะประกาศรับรอง กระทั่งมีพระราชโองการออกมาว่า ไม่บังควร ดังนั้น กกต.จึงต้องไปพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าว ผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ทั้งนี้ มองว่าในภาวะเช่นนี้พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ควรนำเรื่องนี้มาใช้โจมตีเพราะเป็นพรรคคู่แข่ง แต่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการตามกระบวนการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นถึงการพิจารณาคุณสมบัติบัญชีนายกฯ ของพรรคไทยรักษาชาติ โดยระบุว่า ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ กกต.จะประชุม โดยคาดว่าจะมีการหารือในทุกเรื่อง รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ของ กกต. ว่า จะสามารถพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของพรรคการเมืองได้หรือไม่ เนื่องจากฎหมายได้กำหนดให้ กกต.ประกาศเพียงรายชื่อผู้ที่พรรคการเมืองเสนอเป็นนายกฯ เท่านั้น รวมถึงจะได้พิจารณาระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียง ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
หลังมีประกาศพระราชโองการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวางกูร เรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ช่วงค่ำของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562
กรณีพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) มีมติและยื่นพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีพระราชโองการสถาบันพระมหากษัตริย์ฯ ระบุการดึงสมาชิกพระบรมราชวงศ์ไปเกี่ยวข้องการเมือง "เป็นการกระทำมิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง" ประกอบระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องการหาเสียงเลือกตั้งส.ส.ที่ระบุในข้อ 7 ว่า "ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง"
รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ชื่อดัง ให้มุมมองในเชิงวิชาการกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องไปพิจารณาตามกระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายว่า กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร
ส่วนข้อสังเกตกกต.ต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ในเรื่องนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ให้ทัศนะว่า คงพูดไม่ได้ว่าเป็นความผิดของ กกต. ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะในขณะนั้นคงไม่สามารถที่จะปฏิเสธไม่รับได้ กกต.ต้องรับไว้เพื่อพิจารณาก่อนที่จะประกาศรับรอง กระทั่งมีพระราชโองการออกมาว่า ไม่บังควร ดังนั้น กกต.จึงต้องไปพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าว ผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ทั้งนี้ มองว่าในภาวะเช่นนี้พรรคการเมืองต่างๆ ไม่ควรนำเรื่องนี้มาใช้โจมตีเพราะเป็นพรรคคู่แข่ง แต่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการตามกระบวนการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นถึงการพิจารณาคุณสมบัติบัญชีนายกฯ ของพรรคไทยรักษาชาติ โดยระบุว่า ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ กกต.จะประชุม โดยคาดว่าจะมีการหารือในทุกเรื่อง รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตทางข้อกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ของ กกต. ว่า จะสามารถพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ของพรรคการเมืองได้หรือไม่ เนื่องจากฎหมายได้กำหนดให้ กกต.ประกาศเพียงรายชื่อผู้ที่พรรคการเมืองเสนอเป็นนายกฯ เท่านั้น รวมถึงจะได้พิจารณาระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียง ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
