การลงมติในสภา ของ UK สร้างความชัดเจนอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ นั่นคือ สภา ยังคงจะผลักดันให้มีการแยกตัว UK ออกจาก EU ต่อไป แต่จะไม่ยอมแยกตัวโดยไม่มีข้อตกลง (with no deal) ส่วนทางเลือกอื่นๆ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหานี้ไม่ว่าจะเป็น การขอขยายระยะเวลาการแยกตัวออกไปจนถึงปลายปี 2020 หรือการให้ประชาชนออกมาลงประชามติเกี่ยวกับเรื่องการแยกตัวใหม่ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา และท่าทีของ EU ก็ชัดเจนว่าจะไม่กลับเข้าสู่วงเจรจากับ UK ในเรื่องนี้อีก
ประกอบกับข้อเสนอเกี่ยวกับข้อตกลงที่ UK จะทำกับ EU หลังการแยกตัวที่ นายกฯเทเรซา เมย์ ได้เสนอต่อสภา ก็แพ้โหวตแบบไม่เป็นท่า หากจะพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่าง UKกับ EU และ UK ไม่ได้ขอขยายระยะเวลา หากครบกำหนดการแยกตัวในวันที่ 29 มีนาคม 2019 ถึงแม้สภา ของ UK จะมีมติไม่รับการแยกตัวแบบไม่มีข้อตกลง ก็ไม่ได้ช่วยทำให้มีข้อตกลงขึ้นมาได้
แต่ก่อนที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้ คงต้องทำความเข้าใจก่อนว่ากฎของ WTO เข้ามาเกี่ยวข้องอะไร กับกรณีนี้ด้วย นั่นเพราะหาก UK แยกตัวจาก EU แล้ว กฎหมายการ ค้าระหว่างประเทศที่ UK จะทำกับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศสมาชิกใน EU ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศของ WTO เพราะ UK เป็นหนึ่งในสมาชิกของ WTO ด้วย
ซึ่งหนึ่งในกฎเกณฑ์พื้นฐานของ WTO กำหนดว่าหากประเทศหนึ่งจะทำการค้ากับอีกประเทศหนึ่งโดยการกำหนดหรือให้สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ย่อมต้องให้สิทธิเช่นนั้นกับประเทศอื่นด้วย เช่น กรณีนี้ หาก UK ประสงค์จะให้มีการค้ากับประเทศสมาชิกใน EU โดยให้คิดภาษีศุลกากรเป็น 0% (agree free trade deal) นั่นหมายความว่า UK ต้องอนุญาตให้การค้าระหว่าง UK กับประเทศอื่นนอกกลุ่ม EU ต้องได้รับสิทธินี้เช่นกัน เว้นแต่ว่าจะเป็นการทำข้อตกลงกันไว้ตามมาตรา 24 ของ WTO
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง Article 24 มีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง General Agreement on and Tariff Trade (GATT) ก่อนที่จะเปลี่ยน มาเป็น International Trade Organization (ITO) ในปี 1948 และสุดท้ายได้เปลี่ยนมาเป็น WTO เมื่อปี 1995 เพราะฉะนั้นถ้าจะเรียกมาตรานี้ว่าเป็นมาตราของ WTO เลยก็คงไม่ถูกสักทีเดียว
โดย มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ปัจจุบันศึกษาปริญญาเอกอยู่ที่ University of Kent (United Kingdom) สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศ