'แคนเดลา' ขยายตลาด CLMV ต่อยอดผลิตภัณฑ์ความงาม

04 ก.พ. 2562 | 04:40 น.
ผู้หญิงอย่าหยุดสวย แต่ถ้าไม่สวยก็ ... ต้องพยายามต่อไป ประโยคคลาสสิกนี้ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เห็นได้จากธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามที่สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ให้เกิดขึ้นมากมายในตลาด จนผู้บริโภคแทบจะจดจำแบรนด์ที่มีจำหน่ายในตลาดไม่ได้ทั้งหมด

 


[caption id="attachment_382799" align="aligncenter" width="335"] BB4A9997 ฉัตรทิพย์ ญัติติพร[/caption]

"ฉัตรทิพย์ ญัติติพร" และ "ธนวัน ปันทะโชติ" คือ 2 สาวเพื่อนซี้ ที่มองเห็นช่องว่างทางการตลาด ซึ่งยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้

➣ ใช้งานจริงสู่ผลิตภัณฑ์

 

[caption id="attachment_382798" align="aligncenter" width="335"] BB4A9994 ธนวัน ปันทะโชติ[/caption]

"ฉัตรทิพย์" เจ้าของแบรนด์ บริษัท แคนเดลา (ไทยแลนด์)ฯ บอกถึงที่มาของการเริ่มต้นไอเดียในการสร้างธุรกิจ ว่า การที่ได้มีโอกาสไปเสริมความงามกับแพทย์ผิวหนัง ทำให้ได้รู้จักกับสารสกัดที่มีชื่อว่า DNA X จากปลาแซลมอล โดยที่ตนใช้แล้วรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี อีกทั้งยังได้รับคำชมจากผู้คนรอบข้างที่พบเห็น แนวคิดในการทำธุรกิจจึงก่อตัวขึ้น โดยการนำเข้าสารสกัดดังกล่าวมาจากประเทศญี่ปุ่น นำมาสกัดเป็นเซรั่มเพื่อจำหน่าย

สำหรับ DNA X ถือว่าเป็นสารสกัดที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อบริษัทสามารถนำมาบรรจุลงขวดขนาดเล็กได้ ก็ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น เสมือนเป็นการได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ โดยปรากฏว่า ผลตอบรับที่ได้กว่า 90% จากผู้ใช้จะกลับมาซื้อซํ้า และมีการบอกต่อกันไปแบบปากต่อปาก จนทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในล็อตแรกไม่พอจำหน่าย จึงต้องผลิตเพิ่มเป็นล็อตที่ใหญ่ขึ้น แบรนด์ "แคนเดลา ไทยแลนด์" (CANDELA THAILAND) จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในที่สุด

"ธนวัน" เจ้าของแบรนด์อีกท่านหนึ่ง กล่าวเสริมว่า การทำตลาดของแบรนด์จะมุ่งเน้นบนช่องทางออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊กเป็นหลัก เพราะมีต้นทุนที่ไม่สูง แต่มีประสิทธิภาพในการเจาะตลาดอย่างมาก อย่างไรก็ตาม จากการเดินทางไปท่องเที่ยวยัง สปป.ลาว ทำให้ได้มีโอกาสสัมผัสกับตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามของลาว และเห็นว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ ซึ่งมีกลุ่มผู้บริโภคเป็นจำนวนมากที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ จึงมีการเจรจาทางธุรกิจกับร้านจำหน่ายเครื่องสำอางที่เป็นศูนย์ความงามเพื่อนำผลิตภัณฑ์เข้าไปวางจำหน่าย และมีตัวแทนจำหน่ายตามแขวงต่าง ๆ ของลาว

"กลยุทธ์การทำตลาดที่ลาวกับไทย บริษัทใช้รูปแบบเดียวกันผ่านทางออนไลน์ โดยการยิงโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จากที่เริ่มออกผลิตภัณฑ์เดือน เม.ย. 2561 สิ้นปีบริษัทมียอดรายได้อยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาท"


➣ ต่อยอดผลิตภัณฑ์

"ฉัตรทิพย์"
กล่าวต่อไปอีกว่า เมื่อผลิตภัณฑ์ตัวแรกของบริษัทประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี บริษัทจึงได้ดำเนินการต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ครีมกันแดด 3 IN 1 โดยจะมีคุณสมบัติที่เป็นทั้งครีมกันแดด รองพื้น และแป้ง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่เร่งรีบ หรือ กลุ่มวัยทำงาน หรือ พ่อค้าแม่ค้า เจ้าของกิจการ หรือ นักศึกษาที่ต้องการแนวใส ๆ ไม่ต้องแต่งหน้าเยอะมาก โดยมองว่า ตลาดเครื่องสำอางยังเติบโตและมีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก

นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ควบคุมนํ้าหนัก 24 IN 1 พร้อมรับประทาน โดยมีส่วนผสมของสารสกัดและสมุนไพร 24 ชนิด เป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกในตลาดที่มีส่วนผสมมากชนิดที่สุด และมีการใส่ส่วนผสมของแต่ละชนิดแบบเต็มเพดานเท่าที่จะใส่ได้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด ไม่ว่าจะเป็น คอลลาเจน, ไฟเบอร์, แอลคาร์นิทีน สำหรับเบิร์นเวลาที่ออกกำลังกาย และที่สำคัญที่สร้างความแตกต่างในตลาด คือ การใช้ครีมเทียมจากนํ้ามันรำข้าว เนื่องจากหากเป็นครีมเทียมจากถั่วเหลืองอาจจะส่งผลต่อผู้ที่แพ้


BB4A9973

"บริษัทตั้งใจทำให้เป็นเหมือนกาแฟเพื่อสุขภาพ เนื่องจากตอนนี้กระแสเทรนด์สุขภาพมาแรง แต่กระแสของยาลดความอ้วนผู้บริโภคจะไม่นิยมรับประทาน โดยตั้งใจจะขยายกลุ่มลูกค้าตั้งแต่วัยทำงานไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่กลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวรับประทาน ยิ่งบริษัททำให้เป็นกาแฟเพื่อสุขภาพ ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น โดยจุดเด่นของแบรนด์อยู่ที่สารสกัดจากผลการใช้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เห็นผลจริง ซึ่งได้รับการรับรองอย่างถูกต้องและปลอดภัย"


➣ เน้นออนไลน์ พร้อมขยาย CLMV

"ธนวัน"
กล่าวอีกว่า การทำตลาดของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ จะเน้นช่องทางออนไลน์แบบเดิมประมาณ 80% ส่วนที่เหลือจะเป็นออฟไลน์ ซึ่งบริษัทกำลังเจรจาทางธุรกิจกับร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอยู่ประมาณ 2-3 แห่ง เพื่อให้ได้ร้านที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เช่นเดียวกับตลาดที่ลาว อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าและรายได้ โดยคาดว่า ภายในระยะเวลา 2-3 ปี น่าจะเข้าไปทำตลาดได้ทั้งหมด


TP8-3441-A

"ฉัตรทิพย์" กล่าวว่า บริษัทจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำตลาดในประเทศไปสู่การเป็นระบบผู้ค้าแทนรูปแบบของตัวแทนจำหน่าย โดยอาจจะกำหนดให้มีผู้ค้าส่งรายใหญ่จังหวัดละ 1 ราย เพื่อให้เป็นจุดกระจายผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนทางด้านขนส่ง รวมถึงการควบคุมราคาไม่ให้มีการจำหน่ายตัดราคากันเองของผู้ค้าแต่ละราย

"จากกลยุทธ์การทำตลาดดังกล่าว เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ประมาณ 20 ล้านบาทในปีนี้ และมีเป้าหมายที่จะขยายให้ได้ถึง 100 ล้านบาท ภายใน 3 ปี ตามกลยุทธ์การทำตลาดแบบเป็นขั้นตอน และการเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น"


เรื่องโดย : นิธิโรจน์  เกิดบุญภานุวัฒน์

ภาพ : ประเสริฐ ขวัญมา

หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3441 วันที่ 3-6 กุมภาพันธ์ 2562

โปรโมทแทรกอีบุ๊ก