เศรษฐกิจอินโดนีเซียปีนี้อาจรุ่ง

21 มี.ค. 2559 | 06:00 น.
แม้ปัจจัยการลดลงของการค้าโลกและราคาน้ำมัน ตามด้วยสินค้าโภคภัณฑ์และความผันผวนของค่าเงิน จะทำให้แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซียดูไม่สดใส แต่นักวิเคราะห์ตลาดทุนกลับมองว่าเศรษฐกิจเมืองอิเหนาปีนี้จะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งจากความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดี โจโควี วิโดโด หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘โจโควี’

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สอ้าง นาย เฮรัลด์ ฟาน เดอ ลินด์ นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์หุ้นเอเชียของธนาคารเอชเอสบีซี ระบุว่า เศรษฐกิจอินโดนีเซียในปี 2559 อาจจะเป็นแบบเดียวกับประเทศอินเดียในปี 2558 ที่ขยายตัวอย่างมาก
ไฟแนนเชียลไทม์ส ระบุว่า ประเทศอินโดนีเซียมีปัญหาต้องแข่งแย่งนักลงทุนกับอินเดียและจีนเสมอ แต่ขณะนี้ดูเหมือนว่านักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับอินโดนีเซีย โดยมีผลมาจาก 2 ปัจจัย คือตลาดหุ้นจาการ์ตาเป็นบวกได้ แม้นักลงทุนทั่วโลกจะระมัดระวังการลงทุนในตลาดหุ้นเศรษฐกิจเกิดใหม่ ส่วนปัจจัยที่ 2 คือความเชื่อว่าประธานาธิบดีโจโควี จะสามารถปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจได้

ล่าสุดดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียเป็นบวก 4.8% ในราคาเงินรูเปียห์และ 9.7% ในราคาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ติดอันดับ 1 ใน 10 ตลาดหุ้นผลงานดีเด่นทั่วโลก เป็นผลงานที่ถ่วงน้ำหนักลดลงจากปัจจัยความกลัวเศรษฐกิจจีนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกเฉลี่ยลดลง

รายงานระบุว่า ตลาดหุ้นจาการ์ตาเป็นบวก หลังจากที่ต้องประสบกับปัญหาหลายด้านทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 5% และค่าเงินอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่นักลงทุนต่างประเทศเริ่มมีความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีโจโควี ว่าจะสามารถรวมพลังผู้สนับสนุนให้สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจได้สำเร็จซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอีกครั้งหนึ่งได้

นายเดวิด มานน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สำหรับเอเชียของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า “ประเทศที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคนี้คือ ประเทศที่ได้ทำได้ดีในสิ่งที่บอกว่าจะทำ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคนทั่วไปคิดว่าถ้ามีการทำในสิ่งที่ควรทำ ก็จะทำให้เกิดการเติบโตได้”

ล่าสุดรัฐบาลของประธานาธิบดี โจโควี ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาเป็นระลอก มีทั้งการลดขั้นตอนราชการ การเร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ หลังจากที่การเพิ่มงบประมาณลงทุนของรัฐ 7.3% ยังไม่มีผลให้เศรษฐกิจขยายตัวตามเป้าโดยในไตรมาสที่แล้วเศรษฐกิจของอินโดนีเซียขยายตัวเพียง 5%

ไฟแนนเชียลไทม์ส รายงานว่า การปรับเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลหันมาเป็นมิตรและสนับสนุนการลงทุนต่างชาติมากขึ้น เกิดขึ้นหลังจากที่สื่อต่างชาติวิจารณ์โจโควีว่า มีนโยบายปกป้องประเทศด้วยการประกาศให้ต่างชาติที่มาทำงานในอินโดนีเซียต้องผ่านการทดสอบทางด้านภาษาท้องถิ่นและขึ้นภาษีนำเข้า

นายจาฮานเซบ นาซิร (Jahanzeb Naseer) นักวิเคราะห์จากธนาคารเครดิตสวิส กล่าวว่า “ความเปลี่ยนแปลงจากปลายปีที่แล้วคือ รัฐบาลเริ่มใช้จ่ายอย่างมากซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโต” ขณะที่นักวิเคราะห์คนอื่นระบุว่า โครงการก่อสร้างทำให้แรงงานมีงานทำและส่งผลต่อสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ บุหรี่ ของขบเคี้ยว บัตรเติมเงินโทรศัพท์
นายเฮ็นรี่ ซู หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ บาฮาน่า กล่าวว่า “โจโควี กำลังช่วยกลุ่มคนระดับล่างด้วยการสร้างงาน ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน”

การสร้างงานให้คนระดับล่างของรัฐบาลอินโดนีเซีย เริ่มส่งผลโดยมีรายงานว่า หุ้นของบริษัท เอชเอ็มซัมโปน่า ในเครือของฟิลิป มอรีส ขายบุหรี่และบริษัทอินโดฟู้ด ขายบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าของคนระดับล่างมีราคาขึ้นทั้ง 2 ตัว

นายนาซีร์ กล่าวว่า สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มขายได้มากขึ้นจะทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาขยายตัวตามและทำให้หุ้นสื่อมีราคาขึ้นไปด้วย โดยขณะนี้หุ้นของบริษัท มีเดียนูซานทาราซิตรา มีราคาเพิ่มขึ้นกว่า 23% แล้ว

นักวิเคราะห์เชื่อว่า การลงทุนรัฐที่เพิ่มขึ้น ระดับเงินเฟ้อที่ต่ำ และการลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติอินโดฯจาก 7.5% เหลือ 7% เมื่อช่วงต้นปีและการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้ค่าเงินรูเปียห์ เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับมาสนใจตลาดทุนอินโดนีเซีย

บริษัทหลักทรัพย์ บาฮาน่า คาดว่า แบงก์ชาติอินโดฯจะลดดอกเบี้ยพื้นฐานลงอีกครั้งเหลือ 6.25% ในช่วงปลายปีซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ทุกภาคธุรกิจได้รับผลดีถ้วนหน้ายกเว้นภาคธนาคารที่คาดว่าจะได้กำไรน้อยลง เนื่องจากภาครัฐประกาศว่า จะกดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงอีกทำให้ส่วนต่างกำไรของแบงก์คาดว่าจะหดแคบลง

ไฟแนนเชียลไทม์ส ระบุด้วยว่า นอกจากอินโดนีเซียแล้วนักลงทุนยังกลับมาสนใจตลาดหุ้นไทย ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตเช่นกัน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,140 วันที่ 17 - 19 มีนาคม พ.ศ. 2559