"ฟอเรส เรสคิว" สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5 มากถึง 700 กิโลกรัมต่อปี

29 ม.ค. 2562 | 10:17 น.
"แมกโนเลียฯ" ปลื้มแคมเปญ "ฟอเรส เรสคิว" ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติมากกว่า 10 ล้านคน ลงพื้นที่ช่วยต้นไม้ขนาดใหญ่กว่า 500 ต้น พร้อมย้ายสู่บ้านหลังใหม่ ภายในโครงการ "เดอะ ฟอเรสเทียส์"

 

[caption id="attachment_381429" align="aligncenter" width="503"] กิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ๋ กิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ๋[/caption]

นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นพัฒนาโปรเจกต์แฟลกชิพ "THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์" ให้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกซึ่งนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุล เพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Imagine Happiness" ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ พร้อมนำเสนอแคมเปญ "Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว" ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติและต้นไม้ใหญ่ในเมือง ควบคู่กับการจัดตั้งทีมปฏิบัติการ หรือ Forest Rescue Team กระจายตัวลงพื้นที่ เพื่อสำรวจ บำบัด และให้ความช่วยเหลือในการขนย้ายต้นไม้จากแหล่งพื้นที่เดิมที่ไม่เหมาะสม ไปยังบ้านหลังใหม่ที่มีระบบนิเวศขนาดใหญ่ ภายในโครงการ "เดอะ ฟอเรสเทียส์" บนพื้นที่ที่จัดสรรในการรองรับประมาณ 3 ไร่ หรือ 4,800 ตารางเมตร

ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างการรับรู้และตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้มากกว่า 10 ล้านคน ปัจจุบัน ทีมงานได้วิเคราะห์และประเมินข้อมูลของต้นไม้ที่ถูกนำเสนอเรื่องราวความช่วยเหลือกว่า 500 ต้น สำหรับต้นไม้ที่ได้ให้การช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุเฉลี่ย 5-10 ปีขึ้นไป อาทิ ต้นจามจุรี ต้นก้ามปู ต้นพญาสัตบรรณ ต้นหูกระจง ต้นมะขาม ต้นมะม่วง เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อมนุษย์และสัตว์ มีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซที่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น พร้อมทั้งสามารถสร้างก๊าซออกซิเจนกลับคืนได้ถึง 100–125 ล้านลิตรต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น สามารถผลิตก๊าซออกซิเจนได้ 200,000–250,000 ลิตรต่อปี) เท่ากับรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจนของมนุษย์ได้ถึง 1,000 คนต่อปี หรือ ดักจับอนุภาคฝุ่นละออง ควัน และไอพิษต่าง ๆ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ถึง 700 กิโลกรัมต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น ดักจับอนุภาคฝุ่นได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี)


ฟอเรสคิว1

สอดคล้องกับงานวิจัย โดยหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า บริเวณพื้นที่ต้นไม้ใหญ่ที่ทีมวิจัยออกสำรวจ พบว่า อนุภาคฝุ่นละอองลดลงประมาณ 7–24% และบริเวณนั้นมีอุณหภูมิเฉลี่ยลดลง เป็นผลมาจากการคายน้ำของต้นไม้ แสดงให้เห็นว่า ต้นไม้สามารถช่วยแก้ปัญหาหมอกควันในเมืองได้จริง นอกจากนี้ ในปี 2560 ยังมีรายงานที่เผยแพร่ลงในวารสาร Atmospheric Environment ชี้ว่า ต้นไม้ใหญ่ช่วยดูดซับมลพิษแค่ในพื้นที่เปิดโล่ง แต่สำหรับในเมือง "พุ่มไม้" เหมาะที่สุดในการดักจับฝุ่นควัน ที่ส่วนใหญ่แล้วมาจากท่อไอเสียรถยนต์ เนื่องจากบางครั้งต้นไม้ใหญ่ก็สูงเกินไปที่จะจัดการกับมลพิษบนท้องถนน

ทั้งนี้ ต้นไม้ทุกต้นจะได้รับการดูแลจนกลับมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง พร้อมเป็นต้นไม้พี่เลี้ยงให้กับต้นกล้าที่โครงการปลูกด้วยเมล็ด รวมทั้งสิ้นมากกว่า 30,000 ต้น ภายใต้ทฤษฎีการปลูกป่าเชิงนิเวศแบบยั่งยืน หรือ Eco-Forest ทำให้เกิดระบบนิเวศที่หลากหลาย ครอบคลุมพื้นที่ของผืนป่าสาธารณะ "Forest at THE FORESTIAS – ฟอเรส แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์" จำนวนทั้งสิ้น 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร โดยเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้วจะเปิดบางส่วนเป็นพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนเข้าชม พักผ่อน หรือ ศึกษาระบบนิเวศธรรมชาติ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณก๊าซอ๊อกซิเจนในอากาศได้สูงถึง 6,000–7,500 ล้านลิตรต่อปี ดักจับฝุ่นได้มากถึง 420,000 กิโลกรัมต่อปี และทำให้อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่มีอุณหภูมิลดลงประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส


ฟอเรสคิว2

สำหรับโครงการ "THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์" โครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ ที่ "แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น" พัฒนาเป็นโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Imagine Happiness" ที่ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่มีความสุขอย่างยั่งยืน ท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ อยู่ที่บางนา-ตราด กม.7 บนพื้นที่ 300 ไร่

บาร์ไลน์ฐาน