จากธุรกิจดั้งเดิมของ
"โวค กรุ๊ป" ที่เริ่มต้นจากซุปเปอร์มาร์ทใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ภายใต้ชื่อ
"โวค ซุปเปอร์มาร์ท" ข้ามถิ่นมาปักหลักขยาย
"โวคช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์" ใน จ.กระบี่ นี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ครอบครัว
"ดีไชยเศรษฐา" ย้ายมาอยู่ที่นี่ร่วมกว่า 30 ปี จนกลายเป็นคนกระบี่เต็มตัวไปแล้ว วันนี้ไม่ใช่มีเพียงธุรกิจช็อปปิ้งเท่านั้น แต่ยังแตกไลน์การลงทุนมาสู่ธุรกิจโรงแรมอีกหลายแห่ง และเมื่อถึงเวลารับไม้ต่อในยุคเจเนอเรชัน 2 มุมมองในการขับเคลื่อนธุรกิจจะเป็นเช่นไร ...
อ่านได้จากการเปิดใจของ "วัชรพนธ์ ดีไชยเศรษฐา" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โวค พระนาง เบย์ รีสอร์ท
ปัจจุบัน นอกจากธุรกิจช็อปปิ้งแล้ว เรายังมีโรงแรมภายใต้บริษัทโฮลดิ้งของโวคกรุ๊ปรวม 3 แห่ง ได้แก่
"ดุสิตดีทูอ่าวนาง",
"อมารี โวค กระบี่" และ
"เซ็นทรา บายเซนทารา ภูพาโน กระบี่" และล่าสุด ได้ขยายการลงทุนมาสู่ธุรกิจรับซักรีดผ้าให้โรงแรมระดับชั้นนำเกือบทุกเชนใน จ.กระบี่ ในนาม
"วีคลีน" ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะไหน ๆ เรามีหลายโรงแรมที่ทำเรื่องซักรีดผ้าอยู่แล้ว ก็ลงทุนทำให้ใหญ่เพื่อรับบริการให้โรงแรมอื่น ๆ ได้ด้วย
การขยายการลงทุนมาสู่ธุรกิจโรงแรม เรามองว่าเป็นการ
"กระจายความเสี่ยงในการลงทุน" เพราะธุรกิจช็อปปิ้งจะเป็นลูกค้าคนไทยมากกว่าต่างชาติ แต่การลงทุนโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว ก็ทำให้มีลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้ามาใช้บริการ
ต้องถือว่า ครอบครัวเราเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกธุรกิจโรงแรมในกระบี่ก็ว่าได้ เพราะเริ่มสร้าง
"โวค รีสอร์ทแอนด์สปา" มาร่วม 18 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น กระบี่ยังเป็นเมืองที่ยังไม่มีให้เห็นในแผนที่โลก ไม่มีใครรู้จัก 5 โมงเย็น เมืองก็จะเงียบ แทบจะไม่มีรถวิ่งแล้ว ระยะเวลาที่คุณพ่อคุณแม่บริหารจัดการมาจนถึงจุดที่กระบี่เป็นที่นิยมในทุกวันนี้ลูก ๆ อย่างเรายังอดทึ่งในความมานะอดทนของท่านไม่ได้ และล่าสุด ในปีนี้เราเพิ่งพัฒนาโรงแรมที่ท่านร่วมกันสร้างขึ้นมาให้เป็นระดับอัพสเกล โดยรีแบรนด์เป็น
"ดุสิต ดีทู อ่าวนาง" ภายใต้การดูแลของดุสิตธานี
ทั้งในปี 2562 นี้ เราจะปิดปรับปรุง
"โรงแรมอมารี โวค กระบี่" อีกราวครึ่งปี เพื่อรีดีไซน์โฉม หลังเปิดให้บริการมากว่า 10 ปีแล้ว ส่วน
"เซ็นทรา บายเซ็นทารา ภูพาโน กระบี่" ที่เป็นโรงแรมของเราอีกแห่งหนึ่ง ที่บริเวณอ่าวนาง ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวครึ่ง ก็ยังไม่มีแผนอะไร เพราะเพิ่งเปิดให้บริการมาราว 2 ปี
หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมเราจึงดึงเชนมาบริหารโรงแรม ซึ่ง 3 โรงแรม ก็มี 3 เชน รับไปบริหารจัดการ แทนที่จะบริหารเอง ประเด็นนี้เป็นเพราะ
"คุณพ่อสอนลูก ๆ เสมอว่า ให้เราเติบโตในฐานะของนักลงทุน ควบคู่กับการเป็นนักธุรกิจ" เราจึงหามืออาชีพเข้ามาทำงานให้ เพราะนั้นคือ งานถนัดของเขา ซึ่งเราเองจะได้มีเวลาในการถอยออกมาและมองหาช่องทางในการลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต
ทั้งการเลือกเชนมาบริหารก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ทำให้เรามีช่องทางการตลาดที่กว้างขึ้น ยกตัวอย่าง โรงแรมดุสิตดีทู อ่าวนาง ซึ่งภายใต้การดูแลที่ดีมากจากดุสิตธานี ทำให้โรงแรมได้รับเลือกเป็นที่พักของผู้เข้าประกวด Miss Universe 2018 รวมถึง Demi-Leigh Nel-Peters Miss Universe 2017 ในการเก็บตัวที่ จ.กระบี่ ด้วย รวมไปถึงการดึงเชนมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจยังช่วยในเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย อาทิ การสั่งซื้อต่าง ๆ ในโรงแรมก็จะไปรวมอยู่กับเชนต่าง ๆ ที่ถูกกว่าเราจัดซื้อเอง
ขณะเดียวกัน การเลือกใช้แบรนด์บริหารโรงแรมที่ต่างกัน ทำให้เราได้เรียนรู้จุดอ่อน จุดแข็ง ของแต่ละแบรนด์ด้วย เพื่อให้มีข้อมูลว่า หากจะลงทุนขยายโรงแรมไปในทำเลใด จะดึงเชนไหนมาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจจึงจะเหมาะ เพราะวันนี้เรามีโรงแรมตั้งแต่ 3 ดาวครึ่ง ภายใต้แบรนด์เซ็นทรา ของเซ็นทารา ระดับ 4 ดาวครึ่ง ภายใต้แบรนด์ดุสิตดีทู ของดุสิตธานี และระดับ 5 ดาว ภายใต้แบรนด์อมารี
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะเป็นธุรกิจครอบครัว แต่การขับเคลื่อนการทำงานจะผ่านกลไกการทำงานของบอร์ดบริหารเหมือนรูปแบบบริษัท เพื่อให้ธุรกิจอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ซึ่งเราดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยกันคิดและบริหารงาน ซึ่งบอร์ดของเราเชื่อมั่นในศักยภาพการรับนักท่องเที่ยวของเมืองไทย และมั่นใจว่ายังเป็นจุดแข็งที่สำคัญของไทย เรามีนโยบายที่จะขยายธุรกิจโรงแรมเพิ่ม แต่ก็ต้องดูความพร้อมของเราและของตลาดมากกว่าการตามกระแส ว่า ช่องว่างในตลาด ว่า ที่ไหนมีโอกาสต่อการพัฒนา
เราไม่ชอบตลาดที่เป็น Red Ocean หรือ โฟกัสกันแต่ Price War อย่างที่กระบี่การแข่งขันสูง เราก็พัฒนาให้เป็นอัพสเกลไปเลย เพราะมั่นใจในศักยภาพของลูกค้าที่จะยอมจ่ายสูงขึ้นเพื่อคุณภาพการพักผ่อน อีกทั้งการขยายงานก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องโตอยู่แค่ใน จ.กระบี่ หรือแค่ภาคใต้ "เรามี Know How ถ้าเรามี Know Who พาร์ตเนอร์ที่ดี ๆ การจะไปเปิดในภาคอื่น ๆ หรือประเทศอื่น ๆ ก็เป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทของเราให้กว้างขึ้นเช่นกัน"
ผมและพี่ ๆ ค่อนข้างโชคดีที่คุณพ่อคุณแม่สร้างธุรกิจมาไว้ให้เราแล้ว งานสานต่อ ต้องนับว่า ง่ายกว่าบุกเบิกใหม่พอตัว สิ่งที่เราต้องทำ คือ สร้างจุดแข็งให้ทุกๆธุรกิจของโวค กรุ๊ป ซึ่งลูก ๆ ทุกคน ก็จะต้อง Rotate หมุนเวียนกันดูแลธุรกิจ เพื่อให้มีมุมมองใหม่ในการทำงาน ทั้งด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ เราต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจดั้งเดิม คนที่ปรับตัวช้าก็จะโดนผลักออกจากตลาดก่อน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะมีธุรกิจใหม่ใดที่จะเข้ามาตีตลาดอีก แต่เราต้องวิ่งให้ทันกระแสที่เกิดขึ้น
สัมภาษณ์โดย : ธนวรรณ วินัยเสถียร
หน้า 22-23 ฉบับที่ 3,440 วันที่ 31 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562