sea (Group) เผย "อี-คอมเมิร์ซ" มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2568

24 ม.ค. 2562 | 04:50 น.
เผย "อี-คอมเมิร์ซ" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นธุรกิจดาวเด่น ยอดขายมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2568 ชี้! เทรนด์อี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าจับตามองในปี 2562

ดร.สันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist Sea (Group) กล่าวว่า 3 เทรนด์ที่น่าจับตามองของอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2562 แม้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในปี 2562 เนื่องด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น สงครามการค้าระหว่างประเทศ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองว่า อี-คอมเมิร์ซในอาเซียนน่าจะยังเติบโตได้อย่างแข็งแรง

รายงานจากกูเกิล (Google) และเทมาเส็ก (Temasek) ระบุว่า อุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 62% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ยอดขายทั้งหมด (GMV) มีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2568 เนื่องจากการที่คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้นผ่านทางโทรศัพท์สมาร์ทโฟน การลงทุนจากภาคเอกชนและรัฐเพื่อพัฒนาระบบนิเวศน์ของอี-คอมเมิร์ซ บวกกับการที่ยอดขายบนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับเป็นเพียง 3-5% ของยอดขายจากการค้าปลีกทั้งหมด นับว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา ที่สัดส่วนยอดขายอี-คอมเมิร์ซสูงถึง 20% และ 10% ตามลำดับ

 

[caption id="attachment_378926" align="aligncenter" width="361"] (3) Ecommerce trend _ดร. สันติธาร เสถียรไทย_Group Chief Economist Sea (กรุ๊ป) ดร.สันติธาร เสถียรไทย[/caption]

ปรากฎการณ์ "Experiential ecommerce" หรือ การที่อี-คอมเมิร์ซกลายเป็นเรื่องของคนซื้อ "ประสบการณ์" ไม่ใช่แค่ซื้อของ – คล้ายกับการไปห้างสรรพสินค้า ในปัจจุบัน ความต้องการของผู้ใช้อี-คอมเมิร์ซไม่หยุดอยู่เพียงแค่การซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการ แต่ยังชอบที่จะค้นพบสินค้าใหม่ที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน มองหาความเพลิดเพลินจากการใช้แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ และพอใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเพื่อนและผู้คนในแวดวงของตนเองอีกด้วย ผู้บริโภคอาจเข้าแอพพลิเคชันโดยที่ยังไม่มีสินค้าที่อยากซื้ออยู่ในใจ แต่เข้ามาเพื่อมองหาสินค้าและข้อเสนอที่น่าสนใจจากแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ และสอบถามข้อมูลจากผู้ขายเมื่อพบสินค้าที่ตนเองสนใจ

การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) บวกกับบิ๊กดาต้า เพื่อให้รู้จักผู้บริโภคและสามารถปรับสินค้าแนะนำที่แต่ละคนจะเห็น จึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังเข้าแอพพลิเคชันมาเพื่อเล่นมินิเกม เช่น เกมตอบคำถามแบบในเกมโชว์ ที่ดำเนินรายการโดยดาราที่เราคุ้นเคย เพื่อชิงรางวัลได้เป็นส่วนลดไปใช้ในการช็อปปิ้งต่อได้ ที่สำคัญผู้เล่นยังสามารถเข้าไปเล่นร่วมกับเพื่อนไปพร้อม ๆ กัน เป็นกิจกรรมไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีมิติของสังคมผสมเข้าไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ พรมแดนระหว่างการช็อปปิ้ง แวดวงสังคม และความบันเทิงจางหายไป ทำให้ตัวชี้วัดความสำเร็จของอี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ปัจจัยที่เมื่อก่อนนักวิเคราะห์อาจไม่สนใจ เช่น "ระยะเวลา" ที่ผู้คนใช้บนแอพพลิเคชันก็ได้กลายเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

อี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มกลายเป็น "เพื่อนคู่คิดภาคดิจิทัล" สำหรับผู้ขาย "ออฟไลน์" เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซกำลังได้รับบทบาทใหม่ทางธุรกิจ ที่มากกว่าแค่ "ช่องทางจำหน่ายออนไลน์" แต่ได้กลายเป็นเพื่อนคู่คิดของแบรนด์ออฟไลน์ต่าง ๆ โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ดาต้า คาดการณ์ความต้องการผู้บริโภค ช่วยนำเสนอแนวทางการโฆษณาและทำการตลาด โปรโมชัน รวมไปถึงแก้ปัญหาเรื่องโลจิสติกส์ การชำระเงิน เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้นอีกด้วย แม้ผู้ค้าปลีกต่าง ๆ จะเห็นความสำคัญของตลาดออนไลน์มานานแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ก็คือ ร้านและแบรนด์ออฟไลน์ทุกเจ้าไม่จำเป็นต้องเปิดและลงทุนเงินมหาศาลในการสร้างร้านออนไลน์ของตนเองจากศูนย์ เพราะสามารถหันมาจับมือใช้บริการของอี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี่ได้


(5) Ecommerce trend

แนวโน้มนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงที่ผ่านมา แบรนด์ที่ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ อาทิ 'Miniso' ในสิงค์โป, 'Nestle' ในมาเลเชีย และ 'Big C' ในประเทศไทย ได้เปิดร้านในแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซและร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อพัฒนาบริการให้ผู้บริโภค

นอกจากนี้แล้ว อี-คอมเมิร์ซ "เปิดประตู" สู่ผู้บริโภคและผู้ขายใหม่ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซสามารถช่วยให้กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย หรือ กลุ่ม "Micro-Entrepreneurs" และ SME เข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ที่ไม่ได้กำจัดพื้นที่อยู่แค่ตลาดท้องถิ่นที่ผู้ประกอบการรายย่อยนั้นดำเนินการอยู่ อีกทั้งยังสร้างโอกาสให้กับแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มตลาดใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ตลาดหลักดั้งเดิมของแบรนด์นั้น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ของช้อปปี้ (Shopee) ได้ทำงานร่วมกับธุรกิจจำหน่าย "ปลาร้า" แห่งหนึ่ง ซึ่งปกติจะพบข้อกำจัดด้านการจัดส่งและการเข้าถึงลูกค้า หลังจากได้เปิดช่องทางออนไลน์ SME รายนี้สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 2 เท่า ในเวลา 3 เดือน จนสุดท้ายติดลมบน พัฒนาจนกลายเป็นผู้ส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์

แต่ความสำเร็จเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะยังมี SME จำนวนมากที่ไม่คุ้นกับการใช้อี-คอมเมิร์ซ โดยการศึกษาของ "Bain & Company" ชี้ให้เห็นว่า แม้วิสาหกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ของไทยเห็นประโยชน์ของการขายออนไลน์ มีไม่ถึง 50% ที่ได้ทำจริง การร่วมมือกันระหว่างอี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์มและรัฐบาลในการจัดคอร์สอบรมเพื่อช่วยให้ร้านค้าเหล่านี้ใช้อี-คอมเมิร์ซได้เต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

สุดท้ายไม่ใช่เพียงฝั่งผู้ขายเท่านั้นที่จะเชื่อมเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคที่อาจอยู่ในถิ่นที่ไม่ค่อยมีร้านค้าปลีกให้เลือกมากนัก ก็สามารถใช้อี-คอมเมิร์ซเพื่อให้ได้สินค้า โดยเฉพาะของจำเป็นที่ต้องการได้ โดยข้อมูลของช้อปปี้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มลูกค้าที่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองหลวงได้กลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสำคัญมากขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สรุปคือ อี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยเปรียบเสมือนยังอยู่ใน "วัยเยาว์" ที่ไม่เพียงเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการอยู่ตลอด ต้องลองมาจับตาดูว่า ปี 2562 นี้ เทรนด์เหล่านี้จะมีผลอย่างไรต่อธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างไรบ้าง

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว