ปฏิบัติการสั่งดำเนินคดีกับผู้บริหาร คณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนที่กระทำความผิดฐานปั่นหุ้น สร้างราคาหุ้นจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับผู้ถือหุ้น นักลงทุน ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผ่านมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดในระยะที่ผ่านมาถือว่าลบคำปรามาสของสังคมโดยสิ้นเชิงว่า
“ก.ล.ต.ดีแต่เชือดปลาซิวปลาสร้อย”
แต่นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา ก.ล.ต.ได้ปรับบทบาทมา สั่งฟัน
“ตัวใหญ่-ขาใหญ่” ในตลาดหุ้น จนแดดิ้นไปแทบทั้งสิ้น
และส่วนใหญ่ที่ก.ล.ต.ลงดาบ จะอาศัยฐานความผิดตาม มาตรา 243 และ มาตรา 244 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมาตรา 317/4 (1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 เพียงแต่ให้ลงโทษทางแพ่งที่รวดเร็วกว่าอาญา แต่หากใครไม่มายอมรับผิดจ่ายค่าปรับ ก็ไปสู้ในชั้นศาลทางแพ่ง และหากแพ้คดีก็จะฟ้องอาญาตามกฎหมาย
18 ม.ค. 2562 ก.ล.ต.ยิงปืนใหญ่ใส่สลุตกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้บริหารและกรรมการกลุ่มบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ไป 3 ราย ได้แก่ 1.นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 2. น.ส.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ และ 3.นางนฤมล ใจหนักแน่น กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ BA โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 499.45 ล้านบาท และสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน สร้างความสั่นสะเทือน อ้าปากค้างไปทุกวงการ
เพราะ
“หมอเสริฐ-น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” และ
“คุณหมอปุย-พ.ญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ” นั้น ไม่ธรรมดา หมอเสริฐนั้นถือเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ในปี 2561 จากการจัดอันดับของคณะพาณิชย ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวารสารการเงิน การธนาคาร ด้วยมูลค่า 77,129 ล้านบาทเหนือกว่า
“เสี่ยกลาง-สารัชถ์ รัตนาวะดี” เจ้าพ่อโรงไฟฟ้า GULF ที่ถือครองหุ้น 57,645 ล้านบาท และเหนือกว่า
“สมโภชน์ อาหุนัย” เจ้าพ่อ EA ที่ถือครองหุ้นอยู่ 42,226 ล้านบาท
ขณะที่
“หมอปุย-ปรมาภรณ์” นั้น เธอเคยได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเศรษฐินีที่ถือครองหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 2 มูลค่าการถือครองหุ้นรวม 15,735 ล้านบาท เป็นรองแค่
“เจ๊ดาวนภา เพชรอำไพ” เจ้าแม่เงินกู้เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) ที่ถือครองหุ้น 35,640 ล้านบาท และเป็นเศรษฐินีที่ถือครองหุ้นอยู่มากกว่า
“ยุพิน ธีระโกเมน” เจ้าแม่ MK ที่ถือครองหุ้นอยู่ 13,086 หมื่นล้านบาท
การลงดาบเชือดเศรษฐีหุ้นอันดับ 1 เมืองไทย และเชือดเศรษฐินีหุ้นอันดับ 2 ของเมืองไทยของ ก.ล.ต.จึงฮือฮาอ้าปากค้างกันทั้งเมือง
ผมลองไล่เลียงปฏิบัติการฟันขาใหญ่ในตลาดหุ้นของก.ล.ต.ในรอบปีแล้วต้องบอกว่า
“จี๊ด” จริงๆ
[caption id="attachment_378586" align="aligncenter" width="500"]
[/caption]
27 ธ.ค. 2561 - สั่งดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 40 ราย กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) (AJD) (ปัจจุบัน คือ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (AJA)) เพราะมีการใช้บัญชีของกลุ่มบุคคลทั้งหมดมาซื้อขายและโยนหุ้นกันไปมา จนราคาขึ้นไปเกือบ 15 บาท จึงสั่งให้ เสี่ยอมร มีมะโน และพรรคพวก 40 คน มาชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 1,727.38 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดในประวัติการณ์ของการสั่งปรับ ไม่เช่นนั้นจะสั่งฟ้องแพ่งและอาญา และสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน
หลังจาก ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม-8 ตุลาคม 2557 หุ้น AJD มีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติของตลาด โดยราคาปิดเพิ่มสูงขึ้นจากหุ้นละ 2.60 บาท เป็นราคา 15.00 บาท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากบุคคล 40 ราย ร่วมกันสร้างราคาหุ้น AJD
30 ส.ค. 2561 - ก.ล.ต.สั่งดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิด 1 ราย คือ นายสุรินทร์ บรรยงพงศ์เลิศ กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (PICO) ด้วยการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราโทษสูงสุดตามกฎหมาย พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อจัดการต่อไป
กรณีนี้ ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม- 9 สิงหาคม 2560 นายสุรินทร์ ซื้อขายหุ้น PICO อย่างต่อเนื่องผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง 4 บัญชี มีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นในลักษณะผลักดันราคาให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยนายสุรินทร์ได้รับประโยชน์จากการขายหุ้นและทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีผู้ลงทุนได้รับความเสียหาย
20 ก.ค. 2561- ก.ล.ต.สั่งดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำผิด 24 ราย กรณีสร้างราคาหุ้น บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) (MILL) โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 172.14 ล้านบาทหลังจากตรวจสอบพบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 21 มีนาคม- 3 มิถุนายน 2557 มีบุคคลรวม 24 ราย สร้างราคาหุ้น MILL จนทำให้ราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด
โดยมีนายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล และ นางสาวธนิกา ตั้งพูนผลวิวัฒน์ เป็นตัวการหลักในการสร้างราคาหุ้น ได้รู้เห็นหรือตกลงกับผู้ร่วมกระทำความผิดอีก 5 ราย และผู้สนับสนุนการกระทำผิดอีก 17 ราย ซื้อขายหุ้น MILL ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง รวมทั้งบุคคลและนิติบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในลักษณะอำพรางให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการซื้อขายหุ้นนั้นเป็นจำนวนมาก
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จึงมีมติให้ผู้กระทำความผิดทั้ง 24 ราย ชำระค่าปรับทางแพ่ง ซึ่งผู้กระทำความผิดทั้งหมดได้ทำบันทึกยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งแล้ว โดยนายสิทธิชัยและนางสาวธนิกา ชำระค่าปรับรายละ 81.98 ล้านบาท ผู้ร่วมกระทำความผิด 5 ราย ชำระค่าปรับรายละ 500,000 บาท และผู้สนับสนุนการกระทำความผิด 17 ราย ชำระค่าปรับรายละ 333,333.33 บาท รวมเป็นเงินค่าปรับทางแพ่ง 172.14 ล้านบาท
ก.ล.ต. สั่งห้าม นายสิทธิชัย เป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน เป็นเวลา 3 ปี
7 มิ.ย. 2561 - ก.ล.ต.สั่งดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) (ABC) (ปัจจุบันคือ บริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) (DIGI)) ซึ่งมีผู้กระทำผิด 7 ราย ได้แก่ นายสาธิต รุ่งวัฒนภักดิ์ นายชวิน รุ่งวัฒนภักดิ์ นายปรเมษฐ์ รังรองธานินทร์ นางสาวธัญภา เศวตศิลป นางสาวโสรจ จันทราทิพย์ นางสาวอัยย์ริณ ตั้งพูลเจริญ นางสาลิกา ตั้งพูลเจริญ โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งรวมกว่า 120 ล้านบาท และสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน
ทั้ง 7 คน ร่วมกันสร้างราคา และมีการซื้อขายหุ้นโยนกันไปมาจนราคาดันขึ้นจาก 2.38 บาท เป็น 7.80 บาท กลุ่มบุคคลดังกล่าวก็ได้ขายหุ้นและทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีผู้ลงทุนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก จึงสั่งปรับทางแพ่งและห้าม นายปรเมษฐ์ เป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน เป็นเวลา 3 ปีด้วย
การลงดาบของก.ล.ต.ในการเชือดบรรดาขาใหญ่ในตลาดหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายกันเป็นหมื่นล้านบาท เป็นแสนล้านบาทต่อวัน จึงน่าสนใจและชวนติดตาม
แว่วว่า ยังจะมีการเชือดตัวใหญ่ที่ฮือฮากว่านี้อีก 2-3 กลุ่ม เศรษฐีคนไหน ขาใหญ่คนใด...คอยติดตาม และหาทางออกกันนะขอรับ
| คอลัมน์ : ทางออกนอกตำรา
| โดย : บากบั่น บุญเลิศ
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3438 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 24-26 ม.ค. 2562