งัดหลักฐานโต้! ไม่เกี่ยวข้องกับเรือตำรวจสากลไล่ล่า
ยั๊วะ! หลังถูกพาดพิงเอี่ยวทำประมงผิดกฎหมายน่านน้ำโซมาเลีย "ศิริชัยมารีนฯ" โดนกระแสสังคมกดดันไม่ไหว ต้องออกมาแถลงโต้ ปฎิเสธลั่น! พร้อมหลักฐานภาพถ่ายชี้ชัดว่า เป็นเรือ "อ.ศิริชัยนาวา 15" คนละลำกันกับภาพที่ตำรวจสากลไล่ล่า เตรียมฟ้องกลับ! หน่วยงานรัฐทำเสียชื่อเสียง
แหล่งข่าว บริษัท ศิริชัยมารีนฟิชเชอรี จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตามที่ นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ร่วมกับ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมานั้น ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งข้อมูลไปยังตำรวจสากล และเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมานั้น ตำรวจสากลได้แจ้งจับเรือประมง ชื่อ "O.SIRICHAINAWA 15" หรือ "OR. SIRICHAINAWA 15" แก่หน่วยงานในประเทศสมาชิกของตำรวจสากล ว่า หากหน่วนงานใดพบเรือดังกล่าวเข้าทำการประมงในน่านน้ำ หรือ นำสัตว์น้ำขึ้นท่าสามารถเข้าจับกุมพร้อมตรวจค้นได้ทันที โดยอ้างว่า ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า เรือประมงไทย ชื่อ "อ.ศิริขัยนาวา 15" มีผู้ครอบครองเป็นคนไทยและเคยยื่นแจ้งเรื่องต่อกรมเจ้าท่า ว่า เรือประมงลำดังกล่าวได้จมลงในท้องที่ จ.สมุทรสาคร และไม่สามารถหาซากเรือมายืนยันได้นั้น
"บริษัทในฐานะที่เคยครอบครองเรือประมง ชื่อ "อ.ศิริชัยนาวา 15" ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.บริษัทเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการประมงนอกน่านน้ำไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งของไทยและของต่างประเทศ มาตั้งแต่จัดตั้งบริษัทในปี 2532 จนถึงปัจจุบัน และอยู่ในกลุ่มที่ทำกิจการประมงนอกน่านน้ำที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง บริษัทขอยืนยันว่า ไม่เคยทำการประมง "โดยไม่มีใบอนุญาต" หรือ "ใช้เรือไร้สัญชาติ" ทำการประมงในน่านน้ำใด ๆ ทั้งสิ้น
2.บริษัทขอชี้แจงว่า เรือ "อ.ศิริชัยนาวา 15" ซึ่งเคยเป็นของบริษัทที่ได้ถูกรัฐบาลไทยในฐานะเจ้าของธง ยกเลิกทะเบียนไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 ตาม คสช. ที่ 42/2558 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) เนื่องจากทางบริษัทมิได้แจ้งการครอบครองเรือในระหว่างที่มีการสำรวจ และต่อมา ทางบริษัทได้คืนทะเบียนเรือต่อกรมเจ้าท่า เพื่อสละกรรมสิทธิ์และความเป็นเจ้าของทั้งทางพฤษตินัยและนิตินัยแล้ว"
นอกจากนี้ เรือที่สหภาพยุโรป (อียู) หรือ กองกำลัง NATO ตรวจพบ และมีการพ่นข้อความด้านข้างเรือ ว่า "OR. SIRICHAINAWA 15" ลำนี้ แม้จะเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษที่อ่านเป็นชื่อเรือไทย แต่ก็ไม่มีการชักธงไทย จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายไทย อีกทั้งเรือลำนี้ก็มิได้ทำการประมงในประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ในฐานะรัฐชายฝั่งได้ และเหตุที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยู่ในน่านน้ำไทย รัฐบาลไทยก็ไม่สามารถดำเนินการในฐานะรัฐเจ้าของท่าได้เช่นกัน
จากภาพถ่ายที่มีการตรวจพบและมีการพ่นข้อความด้านข้างเรือ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นเรือลำเดียวกันกับเรือ "อ.ศิริชัยนาวา 15" ที่เคยเป็นของบริษัท เนื่องจากมีความแตกต่าง ทั้งสี ความลาดชันของหัวเรือ และความยาวเรือที่มองจากภาพถ่าย และที่สำคัญ ยืนยันว่า บริษัท หรือ ตัวแทน ไม่เคยไปให้การหรือให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการใด ว่า เรือของบริษัทจมลงใน จ.สมุทรสาคร โดยไม่สามารถหาซากเรือได้อย่างที่มีการกล่าวอ้างจากแถลงการณ์ หรือ การแถลงข่าวของหน่วยงานราชการ
นอกจากนี้ ทางกรมเจ้าท่าได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษผู้แทนบริษัท โดยกล่าวหาว่า ได้แจ้งความเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่มีการแจ้งเรือเข้าออกจากท่านั้น นับถึงปัจจุบัน พนักงานสอบสวนยังมิได้ดำเนินการออกหมายแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบ ยังไม่มีการฟ้องคดีในศาลและศาลยังมิได้พิพากษา ว่า เป็นความผิดแต่ประการใด ดังนั้น บริษัทและผู้แทนจึงถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิทธิของผู้ถูกกล่าวโทษย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับความเสียหายจากการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา โดยหน่วยงานราชการไม่เคยขอข้อมูล หรือ เปิดโอกาสให้บริษัทชี้แจงในเรื่องดังกล่าวเลย แต่กลับมาเร่งรัดแจ้งความดำเนินคดี ดำเนินการต่าง ๆ ดังนั้น ขอสงวนสิทธ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในทุกกรณีต่อไป ดังนั้น ทางบริษัทจึงขอความเป็นธรรม และยืนยันว่า เรือดังกล่าวนั้นเป็นคนละลำ! ไม่มีความเกี่ยวข้องใดใดกับบริษัททั้งสิ้น
แหล่งข่าว บริษัท ศิริชัยมารีนฟิชเชอรี จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ตามที่ นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง ร่วมกับ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมาย ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมานั้น ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งข้อมูลไปยังตำรวจสากล และเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมานั้น ตำรวจสากลได้แจ้งจับเรือประมง ชื่อ "O.SIRICHAINAWA 15" หรือ "OR. SIRICHAINAWA 15" แก่หน่วยงานในประเทศสมาชิกของตำรวจสากล ว่า หากหน่วนงานใดพบเรือดังกล่าวเข้าทำการประมงในน่านน้ำ หรือ นำสัตว์น้ำขึ้นท่าสามารถเข้าจับกุมพร้อมตรวจค้นได้ทันที โดยอ้างว่า ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า เรือประมงไทย ชื่อ "อ.ศิริขัยนาวา 15" มีผู้ครอบครองเป็นคนไทยและเคยยื่นแจ้งเรื่องต่อกรมเจ้าท่า ว่า เรือประมงลำดังกล่าวได้จมลงในท้องที่ จ.สมุทรสาคร และไม่สามารถหาซากเรือมายืนยันได้นั้น
"บริษัทในฐานะที่เคยครอบครองเรือประมง ชื่อ "อ.ศิริชัยนาวา 15" ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.บริษัทเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการประมงนอกน่านน้ำไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งของไทยและของต่างประเทศ มาตั้งแต่จัดตั้งบริษัทในปี 2532 จนถึงปัจจุบัน และอยู่ในกลุ่มที่ทำกิจการประมงนอกน่านน้ำที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง บริษัทขอยืนยันว่า ไม่เคยทำการประมง "โดยไม่มีใบอนุญาต" หรือ "ใช้เรือไร้สัญชาติ" ทำการประมงในน่านน้ำใด ๆ ทั้งสิ้น
2.บริษัทขอชี้แจงว่า เรือ "อ.ศิริชัยนาวา 15" ซึ่งเคยเป็นของบริษัทที่ได้ถูกรัฐบาลไทยในฐานะเจ้าของธง ยกเลิกทะเบียนไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 ตาม คสช. ที่ 42/2558 (เพิ่มเติมครั้งที่ 2) เนื่องจากทางบริษัทมิได้แจ้งการครอบครองเรือในระหว่างที่มีการสำรวจ และต่อมา ทางบริษัทได้คืนทะเบียนเรือต่อกรมเจ้าท่า เพื่อสละกรรมสิทธิ์และความเป็นเจ้าของทั้งทางพฤษตินัยและนิตินัยแล้ว"
นอกจากนี้ เรือที่สหภาพยุโรป (อียู) หรือ กองกำลัง NATO ตรวจพบ และมีการพ่นข้อความด้านข้างเรือ ว่า "OR. SIRICHAINAWA 15" ลำนี้ แม้จะเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษที่อ่านเป็นชื่อเรือไทย แต่ก็ไม่มีการชักธงไทย จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายไทย อีกทั้งเรือลำนี้ก็มิได้ทำการประมงในประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ในฐานะรัฐชายฝั่งได้ และเหตุที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้อยู่ในน่านน้ำไทย รัฐบาลไทยก็ไม่สามารถดำเนินการในฐานะรัฐเจ้าของท่าได้เช่นกัน
จากภาพถ่ายที่มีการตรวจพบและมีการพ่นข้อความด้านข้างเรือ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นเรือลำเดียวกันกับเรือ "อ.ศิริชัยนาวา 15" ที่เคยเป็นของบริษัท เนื่องจากมีความแตกต่าง ทั้งสี ความลาดชันของหัวเรือ และความยาวเรือที่มองจากภาพถ่าย และที่สำคัญ ยืนยันว่า บริษัท หรือ ตัวแทน ไม่เคยไปให้การหรือให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการใด ว่า เรือของบริษัทจมลงใน จ.สมุทรสาคร โดยไม่สามารถหาซากเรือได้อย่างที่มีการกล่าวอ้างจากแถลงการณ์ หรือ การแถลงข่าวของหน่วยงานราชการ
นอกจากนี้ ทางกรมเจ้าท่าได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษผู้แทนบริษัท โดยกล่าวหาว่า ได้แจ้งความเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่มีการแจ้งเรือเข้าออกจากท่านั้น นับถึงปัจจุบัน พนักงานสอบสวนยังมิได้ดำเนินการออกหมายแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบ ยังไม่มีการฟ้องคดีในศาลและศาลยังมิได้พิพากษา ว่า เป็นความผิดแต่ประการใด ดังนั้น บริษัทและผู้แทนจึงถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สิทธิของผู้ถูกกล่าวโทษย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับความเสียหายจากการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา โดยหน่วยงานราชการไม่เคยขอข้อมูล หรือ เปิดโอกาสให้บริษัทชี้แจงในเรื่องดังกล่าวเลย แต่กลับมาเร่งรัดแจ้งความดำเนินคดี ดำเนินการต่าง ๆ ดังนั้น ขอสงวนสิทธ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในทุกกรณีต่อไป ดังนั้น ทางบริษัทจึงขอความเป็นธรรม และยืนยันว่า เรือดังกล่าวนั้นเป็นคนละลำ! ไม่มีความเกี่ยวข้องใดใดกับบริษัททั้งสิ้น
