พาณิชย์เกาะติดเบร็กซิท เชื่อกระทบภาพรวมการค้าไทยไม่มาก

18 ม.ค. 2562 | 09:36 น.
พาณิชย์ติดตามสถานการณ์ สหราชอาณาจักร-อียูใกล้ชิด เตรียมพร้อมรับมือเบร็กซิท เชื่อกระทบภาพรวมการค้าไทยไม่มาก และอาจใช้โอกาสนี้สร้างข้อได้เปรียบทางการค้าแก่ไทย เปิดเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับสหราชอาณาจักร

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป (อียู) เนื่องจากจะมีผลต่อการค้ากับไทยได้ต่างกันในแต่ละกรณี โดยหลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ชนะการลงมติไม่ไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2562 และมีแผนที่จะเสนอแผนเบร็กซิทฉบับใหม่ต่อรัฐสภาสหราชอาณาจักรในวันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562 นี้ โดยขณะนี้ ต้องรอดูว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับอียูจะเป็นไปในทิศทางใด โดยสหราชอาณาจักรอาจตัดสินใจออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ (No deal)

[caption id="attachment_376545" align="aligncenter" width="503"] นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม[/caption]

1547795221589 หรือมีทางเลือกอื่นๆ เช่น การจัดการลงประชามติในเรื่องเบร็กซิท ครั้งที่ 2 การยื่นขอเจรจาแก้ไขความตกลงเบร็กซิทกับอียู หรือการขอขยายเวลาการออกจากอียู จากกำหนดเดิมในวันที่ 29 มีนาคม 2562 ออกไป ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดต่อไป

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว ทั้งนี้หากสถานการณ์ดังกล่าวมีความชัดเจน และทั้งสองฝ่ายสามารถให้สัตยาบันต่อความตกลงเบร็กซิท ตามกรอบความสัมพันธ์ในอนาคตที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 สหราชอาณาจักรก็จะมีเวลาปรับตัวและมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 21 เดือน ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ก่อนออกจากอียูอย่างเต็มรูปแบบ และจะช่วยลดความเสี่ยงของภาคธุรกิจตลอดห่วงโซ่การผลิตได้ในระดับหนึ่ง โดย ระหว่างนี้ผลกระทบจากเบร็กซิทต่อไทยอาจประเมินได้ใน 3 ด้าน คือ 1. ด้านภาพรวมการค้า เบร็กซิทน่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมการค้าไทยไม่มาก เนื่องจากในช่วงแรกกฎระเบียบของสหราชอาณาจักรต่อประเทศที่สามน่าจะยังยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากความต้องการซื้อที่ลดลงของสหราชอาณาจักร เนื่องจากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ 2.ด้านสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่อียูมีการกำหนดโควตาภาษีกับไทยในปัจจุบัน เช่น สัตว์ปีกแช่เย็นและแช่แข็ง มันสำปะหลัง และข้าวนั้น เมื่อสหราชอาณาจักรออกจากอียูจะต้องมีการแบ่งโควตาภายใต้องค์การการค้าโลกระหว่างอียูกับสหราชอาณาจักร ไทยจึงต้องเร่งเจรจากับทั้งสองฝ่ายเพื่อไม่ให้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่เคยได้ในตลาดทั้งสอง อย่างไรก็ตาม การที่สหราชอาณาจักรจะออกจากอียูทำให้ต้องเร่งหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ จึงเพิ่มโอกาสของไทยในการเจรจาความตกลงทางการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหราชอาณาจักร หากมีการเจรจาในเวลาที่เหมาะสม

3.ด้านการลงทุน เป็นโอกาสที่ดีที่จะชักชวนนักลงทุนสหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และในสาขาที่สหราชอาณาจักร มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบินและโลจิสติกส์ ยานยนต์สมัยใหม่ ดิจิทัล เป็นต้น เพื่อส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานภาคอุตสาหกรรมของไทย และการใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรเป็นคู่ค้าลำดับที่ 18 ของไทย และอันดับที่ 2 จากอียู ปี 2560 มีมูลค่าการค้าประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 1.53% ของการค้าทั้งหมดของไทย 090861-1927-9-335x503-8-335x503-13-335x503