เลขาธิการอีอีซีระบุผลักดันการลงทุนพื้นที่ระยะ 10 ปี หวังชดเชยผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งอาจกระทบเศรษฐกิจไทย พร้อมฝากการเมืองหลังเลือกตั้งสานต่อโครงการให้เกิดความต่อเนื่อง
[caption id="attachment_375931" align="aligncenter" width="503"]
นายคณิศ แสงสุพรรณ[/caption]
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเศรษฐกิจไทยกับการลงทุนในอีอีซี ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2561 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยนายคณิศ กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์และผู้นำภาคธุรกิจ(CEO)ทั่วโลก วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะทดถอย ซึ่งบางกลุ่มเชื่อว่าจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้ หรือในปีค.ศ.2020 ดังนั้นการสร้างการลงทุนในประเทศโดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่เขตอีอีซี ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะมาชดเชยปัจจัยจากนอกประเทศที่จะมากระทบ เศรษฐกิจไทยในอนาคต
ซึ่งการลงทุนในพื้นที่อีอีซีนั้น มีการประเมินว่าในระยะเวลา 5 ปีจะมีเงินลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 1.7 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 300,000 ล้านบาทต่อปีซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะมาช่วยชดเชยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจากฐานเฉลี่ย 3% หรือช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เฉลี่ยต่อปีร้อยละ 5-6
นายคณิศ ยืนยันว่า การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะลงทุนในอีอีซีใน 12 กลุ่มอุตสาหกรรม ขณะนี้ประเทศผู้ลงทุนสำคัญทั้งจีนและญี่ปุ่นได้แสดงความสนใจเข้าลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยสรุปภาพรวมหลังจากนี้เชื่อว่าในพื้นที่อีอีซีจะมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะ 5 ปีและหลังจากนั้นอีก 5 ปีธุรกิจที่มีการลงทุนไปแล้วก็จะมีการเติบโตช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี
นายคณิศ กล่าวถึงปัจจัยการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนั้นทางคณะกรรมการอีอีซีคาดหวังว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลจะมีการสานต่อโครงการดังกล่าว จึงเป็นที่มาที่รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายามผลักดันให้การพัฒนาพื้นที่มีการยกร่างพระราชบัญญัติรองรับ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การทำงานมีการประสานกับหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็จะช่วยให้การพัฒนาพื้นที่เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนด้วย
เลขาธิการอีอีซี กล่าวถึงปัญหาฝุ่นควันที่กระทบกับสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในภาวะรุนแรงในขณะนี้ โดยยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กดังกล่าวมาจากปัญหาการเผาผลาญน้ำมันดีเซลซึ่งใช้อยู่ทั้งในภาคการขนส่งและรถยนต์ทั่วไป เป็นที่มาที่ต้องพยายามผลักดันให้เกิดการขนส่งทางรางเข้ามาช่วยชดเชยการขนส่งทางรถบรรทุกให้มากขึ้น ส่วนปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นนั้นมาจากปัจจัยด้านการก่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือไม่นั้น คาดว่าในเร็วๆนี้จะมีข้อมูลทางด้านวิชาการออกมาชี้แจง ให้เกิดความชัดเจน