ครม. ปลดล็อกกู้เงินนอกประเทศ ลุยรถไฟ "ไทย-จีน" เน้นดอกเบี้ยถูก
ครม. ปลดล็อกกู้เงินนอกประเทศ ลุยรถไฟ "ไทย-จีน" ชู China Exim Bank ดอกเบี้ยถูกสุด
วันที่ 8 ม.ค. 2562 นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2560 เกี่ยวกับการกู้เงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร–หนองคาย หรือ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร–นครราชสีมา โดยเห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ "ทั้งในประเทศและต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม" และนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อ สำหรับการดำเนินโครงการฯ ภายใต้กรอบวงเงิน 166,342.61 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินโดยตรง ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
"เดิมทีให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินภายในประเทศเท่านั้น เพื่อให้ รฟท. กู้ต่อได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยของโลกเปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในต่างประเทศถูกกว่าในประเทศประมาณครึ่งเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอยากเปิดช่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงขอให้แก้มติ ครม. ให้สามารถกู้จากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ จากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม" นายณัฐพร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องกู้เงินจาก China Exim Bank จากประเทศจีน ที่เดียวเลยหรือไม่ นายณัฐพร กล่าวว่า "ไม่ใช่" ใครให้ดอกเบี้ยที่ถูกที่สุดก็กู้ที่นั่น เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการเปิดช่องให้การกู้เงินในต่างประเทศ หากดอกเบี้ยถูกกว่าในประเทศก็สามารถกู้จากต่างประเทศได้ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้จำกัดที่ CEXIM เท่านั้น สถาบันการเงินที่ไหนก็ได้ทั่วโลกที่ให้ดอกเบี้ยถูกกว่าก็จะกู้ที่นั่น
"หากพูดในกรอบกู้ 20 ปี ถ้ากู้ในประเทศบวกค่าบริหารจัดการแล้ว ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 2.86% แต่หากกู้จาก China Exim Bank ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.3% ซึ่งจะต้องมีการชำระเงินงวดแรก 15% ในเดือน ก.ค. นี้ ดังนั้น สถานการณ์ดอกเบี้ยยังเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อถึงเวลาเราใช้ของใครถูกกว่า เราก็จะใช้อันนั้น ยืนยันว่า มีการเทียบดอกเบี้ยทั้งของ "เวิลด์แบงก์, ADB, ไจก้า" ทั้งหมด แต่ที่ยกตัวอย่าง China Exim Bank เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยเขาถูกที่สุดกว่าที่อื่น"
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. กระทรวงการคลังรายงานว่า ตอนนี้มีหลายสถาบันการเงินเสนอการให้สิทธิประโยชน์และวงเงินการกู้เงินที่อาจจะมีประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า ดอกเบี้ยถูกกว่าและประหยัดงบประมาณได้มากกว่า ก็ขอมติ ครม. ในวันนี้เพื่อกู้เงิน 1.6 แสนล้านบาทได้ จากแหล่งเงินกู้อื่นในต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งกระทรวงการคลังก็จะนำไปพิจารณาให้ดีที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์กับโครงการ
"รมว.คลัง รายงานในที่ประชุมว่า สถาบันการเงินไม่ได้หมายความว่าจะหมายถึง China Exim Bank ที่เดียวที่พูดถึง ก็ยังเปิดกว้างและรอจนกว่านาทีสุดท้าย ว่า ดอกเบี้ยที่ไหนจะเป็นประโยชน์กับประเทศมากที่สุด และสิทธิประโยชน์มากที่สุด ที่อาจจะพูดถึงกรณีของจีนมากหน่อย แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวพันกับอะไรกับการที่เป็นโครงการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนแต่อย่างใด เพราะมีการสอบถามเหมือนกันว่าเป็นเงื่อนไขที่ผูกติดกันด้วยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ใช่"
เมื่อถามว่า จะต้องกู้เมื่อไร นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า จะต้องดูความพร้อมของสัญญาทั้งหมด ระยะเวลายังเป็นไปตามแผน คิดว่าอย่างช้าที่สุดน่าจะดำเนินการได้ภายใน 2-3 เดือนนี้
วันที่ 8 ม.ค. 2562 นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2560 เกี่ยวกับการกู้เงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร–หนองคาย หรือ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร–นครราชสีมา โดยเห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ "ทั้งในประเทศและต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม" และนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อ สำหรับการดำเนินโครงการฯ ภายใต้กรอบวงเงิน 166,342.61 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินโดยตรง ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
"เดิมทีให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินภายในประเทศเท่านั้น เพื่อให้ รฟท. กู้ต่อได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยของโลกเปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในต่างประเทศถูกกว่าในประเทศประมาณครึ่งเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอยากเปิดช่องเพื่อสร้างความยืดหยุ่นมากขึ้น จึงขอให้แก้มติ ครม. ให้สามารถกู้จากทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ จากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม" นายณัฐพร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องกู้เงินจาก China Exim Bank จากประเทศจีน ที่เดียวเลยหรือไม่ นายณัฐพร กล่าวว่า "ไม่ใช่" ใครให้ดอกเบี้ยที่ถูกที่สุดก็กู้ที่นั่น เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการเปิดช่องให้การกู้เงินในต่างประเทศ หากดอกเบี้ยถูกกว่าในประเทศก็สามารถกู้จากต่างประเทศได้ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้จำกัดที่ CEXIM เท่านั้น สถาบันการเงินที่ไหนก็ได้ทั่วโลกที่ให้ดอกเบี้ยถูกกว่าก็จะกู้ที่นั่น
"หากพูดในกรอบกู้ 20 ปี ถ้ากู้ในประเทศบวกค่าบริหารจัดการแล้ว ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ประมาณ 2.86% แต่หากกู้จาก China Exim Bank ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 2.3% ซึ่งจะต้องมีการชำระเงินงวดแรก 15% ในเดือน ก.ค. นี้ ดังนั้น สถานการณ์ดอกเบี้ยยังเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อถึงเวลาเราใช้ของใครถูกกว่า เราก็จะใช้อันนั้น ยืนยันว่า มีการเทียบดอกเบี้ยทั้งของ "เวิลด์แบงก์, ADB, ไจก้า" ทั้งหมด แต่ที่ยกตัวอย่าง China Exim Bank เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยเขาถูกที่สุดกว่าที่อื่น"
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. กระทรวงการคลังรายงานว่า ตอนนี้มีหลายสถาบันการเงินเสนอการให้สิทธิประโยชน์และวงเงินการกู้เงินที่อาจจะมีประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า ดอกเบี้ยถูกกว่าและประหยัดงบประมาณได้มากกว่า ก็ขอมติ ครม. ในวันนี้เพื่อกู้เงิน 1.6 แสนล้านบาทได้ จากแหล่งเงินกู้อื่นในต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งกระทรวงการคลังก็จะนำไปพิจารณาให้ดีที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์กับโครงการ
"รมว.คลัง รายงานในที่ประชุมว่า สถาบันการเงินไม่ได้หมายความว่าจะหมายถึง China Exim Bank ที่เดียวที่พูดถึง ก็ยังเปิดกว้างและรอจนกว่านาทีสุดท้าย ว่า ดอกเบี้ยที่ไหนจะเป็นประโยชน์กับประเทศมากที่สุด และสิทธิประโยชน์มากที่สุด ที่อาจจะพูดถึงกรณีของจีนมากหน่อย แต่ยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวพันกับอะไรกับการที่เป็นโครงการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงไทย-จีนแต่อย่างใด เพราะมีการสอบถามเหมือนกันว่าเป็นเงื่อนไขที่ผูกติดกันด้วยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ใช่"
เมื่อถามว่า จะต้องกู้เมื่อไร นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า จะต้องดูความพร้อมของสัญญาทั้งหมด ระยะเวลายังเป็นไปตามแผน คิดว่าอย่างช้าที่สุดน่าจะดำเนินการได้ภายใน 2-3 เดือนนี้
