ปลดล็อกกฎหมาย! เพื่อยกระดับเศรษฐกิจประเทศไทย โจทย์ที่ท้าทายของ "ผู้นำแกร็บ"
เมื่อเดือน ก.พ. 2561 บริษัท แกร็บ แท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ผู้นำรุ่นใหม่ไฟแรง "ธรินทร์ ธนียวัน" มานั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และด้วยระยะเวลาเพียง 10 เดือนหลังจากนั้น 'แกร็บ' มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดบริการใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย และกำลังจะมีสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นตามมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแกร็บและประเทศไทย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจประเทศไทยที่สนองตอบการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวไปสู่ "ไทยแลนด์ 4.0" และ "5.0" ตามแนวทางที่รัฐบาลวางไว้
"ธรินทร์" มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจมากมาย หลังจบปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเริ่มงานที่ปรึกษาให้กับบริษัทชั้นนำในประเทศไทย ที่ บริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป อยู่กว่า 6 ปี ก่อนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton School) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กลับมาทำงานที่ปรึกษาต่ออีกระยะหนึ่ง ก่อนเข้าทำงานที่ "ลาซาด้า กรุ๊ป" ในฐานะประธานบริหารด้านการตลาดและประธานบริหารด้านการพาณิชย์ รับผิดชอบดูแลการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างอาลีบาบาและลาซาด้า
จากประสบการณ์ทำให้เขาได้ขยายกรอบความคิด พร้อมเกิดมุมมองใหม่ ๆ โอกาสที่เคยได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในหลายโครงการ ทั้งการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) การร่วมพัฒนาระบบออนไลน์ให้กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การวางข้อกำหนดภาษีอี-คอมเมิร์ซ และการวางกลยุทธ์ธุรกิจให้กับไปรษณีย์ไทย ประสบการณ์เหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมาก เมื่อเขาเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ 'แกร็บ' ซึ่งถือเป็นงานท้าทายสำหรับนักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่คนนี้อย่างมาก
"เวลาที่ได้ทำงานกับภาครัฐในช่วงที่อาลีบาบาเข้ามาร่วมกับลาซาด้า ตอนนั้นค่อนข้างเห็นชัดเจนมากว่าจะทำอะไรกับบริษัทนี้ดี ผมเห็นอะไรหลายอย่าง เช่น การร่วมมือกับรัฐบาลควรทำอะไรประมาณไหน จิ๊กซอว์ควรต่อไปอย่างไร จากจุดนั้นผมเลยตัดสินใจมาร่วมงานกับแกร็บเมื่อตอนต้นปี 2018 เพราะเชื่อว่าสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ "แกร็บ ประเทศไทย" ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร"
"ธรินทร์" บอกว่า ทุก ๆ ครั้งที่จะเข้าไปเริ่มอะไรใหม่ จะมองจากมุมมองข้างนอกก่อน ว่า เมื่อเข้าไปแล้วจะทำอะไรให้องค์กรดีขึ้นได้บ้าง 2-3 อย่างแรกที่จะเข้าไปทำได้คืออะไร โดยการศึกษาและมองภาพขององค์กรไปเรื่อย ๆ เพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงบริษัทไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สิ่งที่ผู้บริหารคนนี้มองเห็นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง คือ การค้นพบมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม จากที่เคยมองแกร็บเป็นบริษัทขนส่ง แต่จริง ๆ แกร็บสามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้นอีกมากมาย ด้วยการทำงานร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ เลือกพาร์ตเนอร์ชิพที่ดีมาช่วยสร้างแรงผลักดันธุรกิจ ขับเคลื่อนต่อด้วยการตลาด ทำให้แกร็บสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นไลฟ์สไตล์แอพพลิเคชันแบบเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะส่วนของพาร์ตเนอร์ชิพที่แข็งแกร่งขึ้นมาก เราร่วมมือกับพันธมิตรใหญ่ ๆ มากมายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น KBank หรือแม้แต่การเปิดตัว BNK48 เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ครั้งแรกของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ "ธรินทร์" ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงาน (Operation) บริหารจัดการความต้องการของตลาดควบคู่กับจัดการส่วนของซัพพลาย ซึ่งมีทั้งจำนวนพาร์ตเนอร์ที่เข้ามารองรับ โดยบาลานซ์ทั้ง 2 ส่วน ให้ตอบสนองซึ่งกันและกัน พร้อมนำมุมมองความคิด (Mentality) และวัฒนธรรมบางอย่างเข้ามาเติมเต็ม ทำให้แกร็บแข็งขัน (Aggressive) ขึ้น ด้วยเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายองค์กร
"ธรินทร์" ยํ้าว่า การทำงานและการผลักดันองค์กรให้เติบโตไปข้างหน้า เขาคนเดียวไม่สามารถทำได้ หรือ แกร็บองค์กรเดียวก็ทำไม่ได้ พาร์ตเนอร์ คือ หัวใจสำคัญมาก ๆ เช่นเดียวกับ "บุคลากร" ซึ่งแน่นอนในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง มีการปรับโครงสร้างบางส่วน บางคนอาจพร้อมเดินไปในทิศทางใหม่ทันที ขณะที่ บางคนอาจมีความคิดที่แตกต่าง ก็ต้องมาปรับจูน ซึ่งถือว่าโชคดีที่ความคิดต่างนั้นมีส่วนน้อย เพราะบุคลากรส่วนใหญ่ของแกร็บ คือ คนรุ่นใหม่ ที่พร้อมปรับเปลี่ยนและชอบสิ่งที่ท้าทายความสามารถ
"อีกหนึ่งสิ่งสำคัญ คือ ความเชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องดีขึ้น และต้องเชื่อจริง ๆ ว่า "มันเป็นไปได้" เวลาเราทำอะไรที่ค่อนข้างยากนิดหน่อย ความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำห้ามดาวน์เด็ดขาด ไม่งั้นมันจะเกิดการ Collapse หมด อันนี้ คือ สิ่งที่ผมเรียนรู้ แล้วนำมาใช้ที่นี่"
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียงเดือนกว่า ๆ ทั้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและแรงขับเคลื่อนจากการควบรวมอูเบอร์ ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าเร็วขึ้นมี Topic ใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้ทุกอย่างเกิดการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างขับเคลื่อนไปข้างหน้า การดูแลใส่ใจซึ่งกันและกัน การให้ความช่วยเหลือพึ่งพากันในการพัฒนาองค์กร ทำให้ความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกันเกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ภายในช่วงเวลาเพียง 6-7 เดือน ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,650 ล้านบาท พร้อมกับบริการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น แกร็บ เอ็กซ์เพรส, แกร็บฟู้ด และแกร็บ เฟรช เกิดตามมา และสร้างการเติบโตให้กับแกร็บอย่างมาก พร้อม ๆ กับโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับพาร์ตเนอร์
"สิ่งที่น่าสนใจของแกร็บ คือ คนต้องเดินทางทุกวัน เรามีระบบ มีเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้มั่นใจ และเข้ามาใช้แอพเราทุกวัน เมื่อเราเพิ่มเติมบริการใหม่ ๆ เข้ามา จึงทำให้มีการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หากเราสามารถปลดล็อกข้อกฎหมายได้ ประเทศไทยจะก้าวไปได้อีกเยอะ"
ผู้บริหารแกร็บ ยืนยันว่า ระบบของแกร็บสามารถขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของไทยได้มาก ๆ จาก 3 เรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหารถติด ปัญหาความเหลื่อมลํ้าของรายได้ และการให้บริการนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วใน จ.บุรีรัมย์ ในงาน "มอเตอร์จีพี ... บุรีรัมย์" เราเห็นชัดมาก คนมา 2 แสนคน มีแท็กซี่ 15 คัน ตอนแรกคนก็สงสัยระบบของแกร็บ เราคัดเลือกคนท้องถิ่นที่มีรถเข้ามาในระบบ 200 คน ช่วยคนเดินทาง 1.5 หมื่นคัน เงินสะพัด 6 แสนกว่าบาท เขาเอารถ เอามอเตอร์ไซค์เขามาใช้ แม้กระทั่งแท็กซี่และวิน ก็มาเข้าร่วมกับเราด้วย ซึ่งสามารถสร้างงานสร้างรายได้เสริมขึ้นมาได้
"ผมมองว่า เราเป็นแพลตฟอร์มที่ให้คนหลาย ๆ คน สามารถเอาทรัพย์สินของตัวเองมาให้บริการผ่านเรา ทุกคนมีมอเตอร์ไซค์ มีรถยนต์ ข้อเดียว คือ ปลดล็อกด้านกฎหมาย แล้วเศรษฐกิจไทยจะหมุนทันที แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบเข้าไปซัพพอร์ต สร้างมาตรฐานใหม่ สร้างความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น เราเน้นว่า เราเป็นทางเลือกใหม่ แท็กซี่ หรือ ระบบวินมอเตอร์ไซค์ก็ยังอยู่ หรือถ้าเขาจะมาร่วมกับเราก็เข้าระบบได้"
จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 10 เดือน ที่ผู้บริหารท่านนี้เข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนแกร็บประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น รายได้ หรือ การเติบโตขององค์กร ถือเป็นบทพิสูจน์ที่ดีต่อความเชื่อมั่นในแนวคิดใหม่ ๆ ของเขาว่า ความสำเร็จมันเกิดขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตาม "ธรินทร์" ยังมีโจทย์ที่ท้าทายในเรื่องของการปลดล็อกกฎหมาย ทำให้แกร็บไบค์และแกร็บคาร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ และเขาต้องการให้เกิดขึ้นจริงในปีหน้า
หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,434 วันที่ 10 - 12 มกราคม พ.ศ. 2562
"ธรินทร์" มีประสบการณ์ทางด้านธุรกิจมากมาย หลังจบปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาเริ่มงานที่ปรึกษาให้กับบริษัทชั้นนำในประเทศไทย ที่ บริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป อยู่กว่า 6 ปี ก่อนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจจากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน (Wharton School) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กลับมาทำงานที่ปรึกษาต่ออีกระยะหนึ่ง ก่อนเข้าทำงานที่ "ลาซาด้า กรุ๊ป" ในฐานะประธานบริหารด้านการตลาดและประธานบริหารด้านการพาณิชย์ รับผิดชอบดูแลการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างอาลีบาบาและลาซาด้า
จากประสบการณ์ทำให้เขาได้ขยายกรอบความคิด พร้อมเกิดมุมมองใหม่ ๆ โอกาสที่เคยได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในหลายโครงการ ทั้งการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) การร่วมพัฒนาระบบออนไลน์ให้กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การวางข้อกำหนดภาษีอี-คอมเมิร์ซ และการวางกลยุทธ์ธุรกิจให้กับไปรษณีย์ไทย ประสบการณ์เหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างมาก เมื่อเขาเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ 'แกร็บ' ซึ่งถือเป็นงานท้าทายสำหรับนักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่คนนี้อย่างมาก
"เวลาที่ได้ทำงานกับภาครัฐในช่วงที่อาลีบาบาเข้ามาร่วมกับลาซาด้า ตอนนั้นค่อนข้างเห็นชัดเจนมากว่าจะทำอะไรกับบริษัทนี้ดี ผมเห็นอะไรหลายอย่าง เช่น การร่วมมือกับรัฐบาลควรทำอะไรประมาณไหน จิ๊กซอว์ควรต่อไปอย่างไร จากจุดนั้นผมเลยตัดสินใจมาร่วมงานกับแกร็บเมื่อตอนต้นปี 2018 เพราะเชื่อว่าสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ "แกร็บ ประเทศไทย" ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร"
"ธรินทร์" บอกว่า ทุก ๆ ครั้งที่จะเข้าไปเริ่มอะไรใหม่ จะมองจากมุมมองข้างนอกก่อน ว่า เมื่อเข้าไปแล้วจะทำอะไรให้องค์กรดีขึ้นได้บ้าง 2-3 อย่างแรกที่จะเข้าไปทำได้คืออะไร โดยการศึกษาและมองภาพขององค์กรไปเรื่อย ๆ เพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงบริษัทไปในทิศทางที่ดีขึ้น
สิ่งที่ผู้บริหารคนนี้มองเห็นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง คือ การค้นพบมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม จากที่เคยมองแกร็บเป็นบริษัทขนส่ง แต่จริง ๆ แกร็บสามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้นอีกมากมาย ด้วยการทำงานร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ เลือกพาร์ตเนอร์ชิพที่ดีมาช่วยสร้างแรงผลักดันธุรกิจ ขับเคลื่อนต่อด้วยการตลาด ทำให้แกร็บสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นไลฟ์สไตล์แอพพลิเคชันแบบเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะส่วนของพาร์ตเนอร์ชิพที่แข็งแกร่งขึ้นมาก เราร่วมมือกับพันธมิตรใหญ่ ๆ มากมายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น KBank หรือแม้แต่การเปิดตัว BNK48 เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ครั้งแรกของประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ "ธรินทร์" ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงาน (Operation) บริหารจัดการความต้องการของตลาดควบคู่กับจัดการส่วนของซัพพลาย ซึ่งมีทั้งจำนวนพาร์ตเนอร์ที่เข้ามารองรับ โดยบาลานซ์ทั้ง 2 ส่วน ให้ตอบสนองซึ่งกันและกัน พร้อมนำมุมมองความคิด (Mentality) และวัฒนธรรมบางอย่างเข้ามาเติมเต็ม ทำให้แกร็บแข็งขัน (Aggressive) ขึ้น ด้วยเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายองค์กร
"ธรินทร์" ยํ้าว่า การทำงานและการผลักดันองค์กรให้เติบโตไปข้างหน้า เขาคนเดียวไม่สามารถทำได้ หรือ แกร็บองค์กรเดียวก็ทำไม่ได้ พาร์ตเนอร์ คือ หัวใจสำคัญมาก ๆ เช่นเดียวกับ "บุคลากร" ซึ่งแน่นอนในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง มีการปรับโครงสร้างบางส่วน บางคนอาจพร้อมเดินไปในทิศทางใหม่ทันที ขณะที่ บางคนอาจมีความคิดที่แตกต่าง ก็ต้องมาปรับจูน ซึ่งถือว่าโชคดีที่ความคิดต่างนั้นมีส่วนน้อย เพราะบุคลากรส่วนใหญ่ของแกร็บ คือ คนรุ่นใหม่ ที่พร้อมปรับเปลี่ยนและชอบสิ่งที่ท้าทายความสามารถ
"อีกหนึ่งสิ่งสำคัญ คือ ความเชื่อมั่นว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องดีขึ้น และต้องเชื่อจริง ๆ ว่า "มันเป็นไปได้" เวลาเราทำอะไรที่ค่อนข้างยากนิดหน่อย ความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำห้ามดาวน์เด็ดขาด ไม่งั้นมันจะเกิดการ Collapse หมด อันนี้ คือ สิ่งที่ผมเรียนรู้ แล้วนำมาใช้ที่นี่"
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียงเดือนกว่า ๆ ทั้งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและแรงขับเคลื่อนจากการควบรวมอูเบอร์ ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าเร็วขึ้นมี Topic ใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้ทุกอย่างเกิดการปรับตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างขับเคลื่อนไปข้างหน้า การดูแลใส่ใจซึ่งกันและกัน การให้ความช่วยเหลือพึ่งพากันในการพัฒนาองค์กร ทำให้ความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกันเกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ภายในช่วงเวลาเพียง 6-7 เดือน ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,650 ล้านบาท พร้อมกับบริการใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น แกร็บ เอ็กซ์เพรส, แกร็บฟู้ด และแกร็บ เฟรช เกิดตามมา และสร้างการเติบโตให้กับแกร็บอย่างมาก พร้อม ๆ กับโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ให้กับพาร์ตเนอร์
"สิ่งที่น่าสนใจของแกร็บ คือ คนต้องเดินทางทุกวัน เรามีระบบ มีเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้มั่นใจ และเข้ามาใช้แอพเราทุกวัน เมื่อเราเพิ่มเติมบริการใหม่ ๆ เข้ามา จึงทำให้มีการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หากเราสามารถปลดล็อกข้อกฎหมายได้ ประเทศไทยจะก้าวไปได้อีกเยอะ"
ผู้บริหารแกร็บ ยืนยันว่า ระบบของแกร็บสามารถขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของไทยได้มาก ๆ จาก 3 เรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหารถติด ปัญหาความเหลื่อมลํ้าของรายได้ และการให้บริการนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับการเดินทาง เช่น สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วใน จ.บุรีรัมย์ ในงาน "มอเตอร์จีพี ... บุรีรัมย์" เราเห็นชัดมาก คนมา 2 แสนคน มีแท็กซี่ 15 คัน ตอนแรกคนก็สงสัยระบบของแกร็บ เราคัดเลือกคนท้องถิ่นที่มีรถเข้ามาในระบบ 200 คน ช่วยคนเดินทาง 1.5 หมื่นคัน เงินสะพัด 6 แสนกว่าบาท เขาเอารถ เอามอเตอร์ไซค์เขามาใช้ แม้กระทั่งแท็กซี่และวิน ก็มาเข้าร่วมกับเราด้วย ซึ่งสามารถสร้างงานสร้างรายได้เสริมขึ้นมาได้
"ผมมองว่า เราเป็นแพลตฟอร์มที่ให้คนหลาย ๆ คน สามารถเอาทรัพย์สินของตัวเองมาให้บริการผ่านเรา ทุกคนมีมอเตอร์ไซค์ มีรถยนต์ ข้อเดียว คือ ปลดล็อกด้านกฎหมาย แล้วเศรษฐกิจไทยจะหมุนทันที แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบเข้าไปซัพพอร์ต สร้างมาตรฐานใหม่ สร้างความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น เราเน้นว่า เราเป็นทางเลือกใหม่ แท็กซี่ หรือ ระบบวินมอเตอร์ไซค์ก็ยังอยู่ หรือถ้าเขาจะมาร่วมกับเราก็เข้าระบบได้"
จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 10 เดือน ที่ผู้บริหารท่านนี้เข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนแกร็บประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น รายได้ หรือ การเติบโตขององค์กร ถือเป็นบทพิสูจน์ที่ดีต่อความเชื่อมั่นในแนวคิดใหม่ ๆ ของเขาว่า ความสำเร็จมันเกิดขึ้นได้จริง อย่างไรก็ตาม "ธรินทร์" ยังมีโจทย์ที่ท้าทายในเรื่องของการปลดล็อกกฎหมาย ทำให้แกร็บไบค์และแกร็บคาร์สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ และเขาต้องการให้เกิดขึ้นจริงในปีหน้า
หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,434 วันที่ 10 - 12 มกราคม พ.ศ. 2562
