เงินบาทแข็งหลุด 32 บาท/ดอลลาร์
ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า ค่าเงินบาทต่อดอลาร์สหรัฐฯ เปิดตลาดเช้าวันนี้ที่ระดับ 31.96 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจาก 32.05 บาทต่อดอลลาร์ ช่วงปิดสิ้นสัปดาห์ก่อน
ในสัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามทั้งการเจรจาการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เริ่มที่วันจันทร์ ผู้แทนการค้าของฝั่งสหรัฐฯ จะเดินทางไปกรุงปักกิ่ง เพื่อหาข้อตกลงในด้านการค้ากับจีน เตรียมสำหรับการพบกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้งผิง ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังมาตรการชะลอการเก็บภาษีของสหรัฐฯ สิ้นสุดในปลายเดือน ก.พ.
นอกจากนี้ ก็จะมีการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคการผลิตในสหรัฐฯ (ISM Non-Manufacturing PMI) คาดว่าจะปรับลดลงเพียงเล็กน้อยมาที่ 59 จุด ดีกว่าภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่ได้รับแรงต้านจากสงครามการค้าและเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่
ตามมาด้วยในวันพุธ การแถลงรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในเดือน ธ.ค. ตลาดกำลังจับตาไปที่ความเห็นของเฟด และตั้งคำถามว่า ความผันผวนในปัจจุบัน ต้องมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เช่น การหยุดขึ้นดอกเบี้ย เข้ามาสนับสนุนหรือไม่
ในวันศุกร์ ตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐฯ (CPI) คาดว่าจะปรับตัวลง 0.2% ในเดือน ธ.ค. จากผลของราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ ยังน่าจะทรงตัวได้ระดับ 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าการหารือเรื่องการค้ารวมถึงความคืบหน้าเรื่องงบประมาณของสหรัฐฯ จะเป็นเรื่องที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุด แม้ทั้งสองเรื่องจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ แต่จะสร้างความผันผวนในตลาดแน่นอน
ฝั่งของค่าเงินบาท ในช่วงสั้นยังคงมีแรงกดดันจากการเคลื่อนย้ายเข้าสู่สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เพราะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจหยุดขึ้น จึงมีโอกาสไม่มากที่จะปรับตัวอ่อนค่ากลับได้ จุดที่ต้องติดตาม คือ ภาพรวมสงครามการค้าและการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดทุน (Risk Sentiment) ซึ่งถ้าทั้งคู่มีแนวโน้มดีขึ้นอีก อาจยิ่งหนุนให้เงินบาทแข็งค่าลงต่อได้
โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.90 - 32.00 บาทต่อดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในสัปดาห์ 31.80 - 32.30 บาทต่อดอลลาร์
ในสัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามทั้งการเจรจาการค้าและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เริ่มที่วันจันทร์ ผู้แทนการค้าของฝั่งสหรัฐฯ จะเดินทางไปกรุงปักกิ่ง เพื่อหาข้อตกลงในด้านการค้ากับจีน เตรียมสำหรับการพบกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้งผิง ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังมาตรการชะลอการเก็บภาษีของสหรัฐฯ สิ้นสุดในปลายเดือน ก.พ.
นอกจากนี้ ก็จะมีการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคการผลิตในสหรัฐฯ (ISM Non-Manufacturing PMI) คาดว่าจะปรับลดลงเพียงเล็กน้อยมาที่ 59 จุด ดีกว่าภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่ได้รับแรงต้านจากสงครามการค้าและเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่
ตามมาด้วยในวันพุธ การแถลงรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในเดือน ธ.ค. ตลาดกำลังจับตาไปที่ความเห็นของเฟด และตั้งคำถามว่า ความผันผวนในปัจจุบัน ต้องมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เช่น การหยุดขึ้นดอกเบี้ย เข้ามาสนับสนุนหรือไม่
ในวันศุกร์ ตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐฯ (CPI) คาดว่าจะปรับตัวลง 0.2% ในเดือน ธ.ค. จากผลของราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ ยังน่าจะทรงตัวได้ระดับ 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในสัปดาห์นี้ เชื่อว่าการหารือเรื่องการค้ารวมถึงความคืบหน้าเรื่องงบประมาณของสหรัฐฯ จะเป็นเรื่องที่ตลาดให้ความสนใจมากที่สุด แม้ทั้งสองเรื่องจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ แต่จะสร้างความผันผวนในตลาดแน่นอน
ฝั่งของค่าเงินบาท ในช่วงสั้นยังคงมีแรงกดดันจากการเคลื่อนย้ายเข้าสู่สกุลเงินตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เพราะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจหยุดขึ้น จึงมีโอกาสไม่มากที่จะปรับตัวอ่อนค่ากลับได้ จุดที่ต้องติดตาม คือ ภาพรวมสงครามการค้าและการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดทุน (Risk Sentiment) ซึ่งถ้าทั้งคู่มีแนวโน้มดีขึ้นอีก อาจยิ่งหนุนให้เงินบาทแข็งค่าลงต่อได้
โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.90 - 32.00 บาทต่อดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในสัปดาห์ 31.80 - 32.30 บาทต่อดอลลาร์
