พาณิชย์จีนยัน! เจรจาการค้าสหรัฐฯ รอบใหม่ 7-8 ม.ค. นี้

04 ม.ค. 2562 | 06:53 น.
กระทรวงพาณิชย์จีน แถลงเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2562 ยืนยันว่า การเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 ม.ค. ที่จะถึงนี้ ที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน โดยจะเป็นการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการครั้งแรก นับตั้งแต่ที่ผู้นำของทั้ง 2 ฝ่าย คือ ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" และประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ได้ตกลงกันระหว่างการประชุมนอกรอบของกลุ่ม G7 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ว่า จะพักการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2561 เพื่อให้มีการเจรจาคลี่คลายข้อพิพาททางการค้าระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย โดยการเจรจาที่กำลังจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ฝ่ายสหรัฐฯ จะมี นายเจฟฟรีย์ เกอร์ริช รองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ขณะที่ ฝ่ายจีนยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าใครจะเป็นหัวหน้าคณะฯ แต่แถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า การพบกันของทั้ง 2 ฝ่าย จะเป็นการเจรจาที่หวังผลความคืบหน้าและเป็นประโยชน์

t2


● ตลาดหุ้นจีนเด้งรับสัญญาณเชิงบวก

การออกมาแถลงของฝ่ายจีนครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีได้หารือทางโทรศัพท์กับฝ่ายสหรัฐฯ เมื่อเช้าวันศุกร์ (4 ม.ค.) สะท้อนความกระตือรือร้นของจีนที่จะสร้างความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (ยูเอสทีอาร์) ยังไม่ได้ออกมายืนยันการเยือนจีนในสัปดาห์หน้า แต่ผลตอบรับจากตลาดเป็นไปในเชิงบวก โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของจีน ทั้งตลาดเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น ปรับขึ้นกว่า 1% หลังการแถลงข่าวของกระทรวงพาณิชย์จีน โดยก่อนหน้านั้นในช่วงเช้าดัชนียังเป็นไปในทิศทางลบ

นักวิเคราะห์เชื่อว่า ทั้งจีนและสหรัฐฯ กำลังพยายามมองหาจุดกึ่งกลางที่สามารถรอมชอมกันได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการโหมกระพือไฟสงครามการค้าให้คุขึ้นมาใหม่ โดยเชื่อว่าจีนจะยอมยื่นข้อเสนอที่ดีมาก ๆ ขณะที่ สหรัฐฯ เองก็อยากจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน เพราะช่วงเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ดีมากนัก ทำให้เชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะต้องการทำอะไรบางอย่างให้ประชาชนคลายความวิตกกังวล และไม่โทษนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลว่าเป็นต้นเหตุ แต่ทั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า สหรัฐฯ อาจจะไม่ยอมรามือให้กับจีนในการเจรจาการค้าครั้งใหม่ เพราะต้องการชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ และหากจะให้เป็นเช่นนั้น ก็ต้องกดดันจีนให้มากขึ้น ซึ่งสมมุติฐานดังกล่าวสอดคล้องกับท่าทีของ นายโรเบิร์ท ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ที่เคยออกมาระบุว่า ท่าทีของจีนนั้นยังน่าสงสัย และทางที่ดีประธานาธิบดีทรัมป์ควรจะกดดันจีนให้มากขึ้น ด้วยการขึ้นภาษีต่อไปจนกว่าจีนจะยอมให้ในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ

 

[caption id="attachment_369783" align="aligncenter" width="503"] โรเบิร์ท ไลท์ไฮเซอร์ โรเบิร์ท ไลท์ไฮเซอร์[/caption]

● ยอมถอยเพื่อปลดล็อกการเจรจา

ด้าน จีนเองนับตั้งแต่ที่มีการตกลงระดับผู้นำ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2561 ว่า จะพักการโต้ตอบทางการค้า 90 วัน เพื่อกลับสู่การเจรจา ก็ปรากฏว่า มีความพยายามอย่างเห็นได้ชัดในการยื่นข้อเสนอที่ดีให้แก่สหรัฐฯ เช่น จีนเริ่มนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อีกครั้ง และยอมลดอัตราภาษีให้กับรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วย นอกจากนี้ จีนยังพยายามลดการพูดถึงยุทธศาสตร์เมดอินไชน่า 2025 (Made in China 2025) ที่สหรัฐฯ ต่อต้าน และกำลังมีการแก้ไขกฎหมายการลงทุนของต่างชาติ เพื่อไม่ให้มีการบังคับให้ต่างชาติต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับหุ้นส่วนฝ่ายจีน เป็นต้น

ระหว่างที่รอการยืนยันจากฝ่ายยูเอสทีอาร์ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ มีรายได้เข้ามาหลายพันล้านดอลลาร์จากภาษีนำเข้าสินค้าที่จัดเก็บในอัตราสูงขึ้น ทั้งจากจีนและประเทศอื่น ๆ ที่มีพฤติกรรมการค้าไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ และขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ประสบความสำเร็จดีในการเจรจาการค้ากับหลาย ๆ ประเทศ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การกดดันคู่ค้านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จำเป็นต้องทำ


t1

ข้อความดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายตีความว่า สหรัฐฯ อาจเลือกใช้ท่าทีเชิงรุกและกดดันจีนมากกว่าที่จะรามือ โดยเฉพาะในยามที่ในรัฐสภาสหรัฐฯ กำลังเผชิญประเด็นขัดแย้งกันเอง ทั้งเรื่องการปิดทำการหน่วยงานภาครัฐชั่วคราว เพราะขาดงบประมาณ (ภาวะชัตดาวน์) และความขัดแย้งเกี่ยวกับงบประมาณสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ก็เป็นไปได้สูงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ยอมอ่อนข้อในการเจรจาการค้ากับจีน

จอน คาวลีย์ นักกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ บริษัท เบเกอร์ แมคคินซี ให้ความเห็นน่าสนใจ ว่า ไม่ว่าผลการเจรจารอบใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร และการสงบศึกการค้าชั่วคราวระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะขยายเวลาออกไปเกินกว่า 90 วัน ที่กำหนดไว้อีกหรือไม่ แต่การขึ้นภาษีรอบที่ผ่าน ๆ มา (ของทั้ง 2 ฝ่าย) ก็ส่งผลกระทบแล้ว และภาคธุรกิจก็ได้รับความเสียหายจากภาษีที่สูงขึ้นแล้ว การสงบศึกการค้าเป็นเพียงการไม่ขึ้นภาษีเพิ่มเติม แต่ที่ประกาศขึ้นไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ ฉะนั้นอย่าคาดหวังอะไรมาก "นี่เป็นเกมหมากรุก ต่างฝ่ายไม่ได้แสดงออกมาว่า จริง ๆ แล้วกำลังคิดอะไรอยู่ เราคนนอกได้แต่เฝ้ามอง จับตาทุกการเดินหมากแต่ละครั้ง แล้วคาดคะเนว่าการเดินหมากตัวต่อไปจะรุกไปทางไหน"

 

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว

[caption id="attachment_369435" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]