สั่งรับมือ "พายุปาบึก" 24 ชั่วโมง คาดฝนตกหนัก 300 มิลลิเมตร

02 ม.ค. 2562 | 10:52 น.
สทนช. เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมด่วน! เตรียมเฝ้าระวังพายุโซนร้อน 'ปาบึก' (PABUK) 3-5 ม.ค. นี้ พร้อมเปิดศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ที่ ปภ.สุราษฎร์ธานี เฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำและอุทกภัยตลอด 24 ชม.

วันที่ 2 ม.ค. 2562 นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ครั้งที่ 1/2562 ณ ห้องประชุมน้ำปิง ชั้น 4 อาคารจุฑามาศ สทนช. ว่า จากการประชุมและวิเคราะห์สถานการณ์ของพายุโซนร้อน 'ปาบึก' (PABUK) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านปลายแหลมญวนและเคลื่อนลงอ่าวไทยในช่วงวันนี้ (2 ม.ค. 62) โดยจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยในพื้นที่ภาคใต้ ช่วงระหว่างวันที่ 3-5 ม.ค. 2562 ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะบริเวณ จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล


S__19759137

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และชุมพร คาดว่าจะมีฝนตกหนักประมาณ 200-300 มิลลิเมตรต่อวัน โดยจะมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้ วันที่ 3 ม.ค. 2562 เริ่มได้รับผลกระทบ จ.พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส วันที่ 4 ม.ค. 2562 จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง วันที่ 5 ม.ค. 2562 จ.เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และหลังจากวันที่ 6 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป ปริมาณฝนจะค่อย ๆ เบาบางลง ซึ่ง สทนช. ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการเตรียมรองรับสถานการณ์เขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยเขื่อนที่อยู่ในความดูแลของของกรมชลประทาน ได้แก่ เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ปริมาณน้ำ 612 ล้าน ลบ.ม. (83%) และเขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 353 ล้าน ลบ.ม. (90%) ในส่วนของเขื่อนที่อยู่ในความดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้แก่ เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 4,701 ล้าน ลบ.ม. (83%) สามารถรับน้ำ ได้อีก 938 ล้าน ลบ.ม และเขื่อนบางลาง จ.ยะลา ปริมาณน้ำ 1,076 (74%) รับน้ำได้อีก 378 ล้าน ลบ.ม. โดยศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและกรมชลประทาน พิจารณาเร่งการระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำตามข้อสั่งการของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่มีอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ภาคใต้ที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 เร่งระบายน้ำเพื่อรองรับปริมาณน้ำฝนและติดตามสภาพฝน และการระบายน้ำให้สัมพันธ์กับพื้นที่ท้ายน้ำเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น


508986

รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน และ ปภ. ได้เตรียมรับสถานการณ์น้ำและอุทกภัยในพื้นที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยได้เตรียมบุคลากรพร้อมจัดส่งเครื่องจักรเครื่องมือลงพื้นที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบูรณาการทำงานในพื้นที่ให้สอดคล้องกับการสั่งการในการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำและอุทกภัยได้โดยตรง ในวันพรุ่งนี้ (3 ม.ค. 62) สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่พร้อมจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ ที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตาม เฝ้าระวัง วิเคราะห์สภาพน้ำฝน น้ำท่า และการเคลื่อนตัวของพายุ รวมทั้งประเมินแนวโน้มสถานการณ์น้ำและอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ ตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อเป็นการลดผลกระทบที่อาจจะเกิดกับพี่น้องประชาชน พร้อมเตือนประชาชนให้ติดตามข่าวสารจากศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติอย่างใกล้ชิด


thong-503x335

ด้าน ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศแจ้งเตือนพายุโซนร้อน 'ปาบึก' (PABUK) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านแหลมญวนและเคลื่อนลงอ่าวไทย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคใต้ทำให้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ในช่วงวันที่ 3-4 ม.ค. 2562 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ช่วงวันที่ 4-5 ม.ค.62 บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล แล้วจะเคลื่อนตัวออกกสู่ทะเล อันดามันในวันที่ 6 ม.ค. 2562 ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกเล็กน้อยบริเวณ จ.เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานครนั้น กรมชลประทานได้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ำอย่างเร่งด่วน โดยการประชุมผ่าน VDO Conference ไปยังโครงการชลประทานในพื้นที่ภาคใต้ทุกโครงการฯ เพื่อเน้นย้ำให้ทุกแห่งเตรียมการรับมือจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ได้เร่งพร่องน้ำในลำน้ำต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรับน้ำจากฝนที่ตกลงในพื้นที่ สำหรับเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน ได้ทำการพร่องน้ำในเขื่อนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มีพื้นที่น้ำรับได้เพิ่มขึ้นแล้วเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังได้ให้เจ้าหน้าที่ทำการขุดลอกคลองและกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อให้น้ำไหลลงสู่ทะเลได้สะดวกรวดเร็ว พร้อมกับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ชลประทานทุกโครงการ รวมไปถึงศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) ให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำตั้งแต่ จ.เพชรบุรี ไปจนถึง จ.นราธิวาส ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับการเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือนั้น กรมชลประทานได้ติดตั้งและเตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือไว้ในพื้นที่ภาคใต้ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝนแล้ว อาทิ เครื่องสูบน้ำ 453 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 300 เครื่อง และเครื่องจักรกลอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 1,106 หน่วย พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทาน ทำการตรวจสอบอาคารและระบบชลประทาน ให้มีความพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังได้นำรถกระจายสัญญานวิทยุสื่อสาร ลงไปประจำในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม เพื่อเพิ่มศักยภาพให้เจ้าหน้าที่ชลประทาน ในด้านการสื่อสารด้วยวิทยุสื่อสารระยะไกล ซึ่งจะช่วยให้การปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกลมีความสะดวก รวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ให้ประสานงานบูรณาการทำงานร่วมกับจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างทั่วถึงแล้ว

แอดฐานฯ

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว