social media ฝังอยู่กับชีวิตของคนทั่วโลก

30 ธ.ค. 2561 | 08:37 น.
บทความโดย : พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ

สถิติการใช้ Facebook ของคนทั่วโลกที่ใช้งานอยู่มีถึงกว่า 2 พันล้านคน, YouTube มีผู้ลงทะเบียนถึง 1.8 พันล้านคน, Instagram มีผู้ใช้ 1 พันล้านคน และ LINE มีผู้ลงทะเบียนถึง 600 ล้านคน

สำหรับประเทศไทย ที่มีผู้ใช้ social media ถึง 51 ล้านคน (74% ของประชากร) และผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 55.56 ล้านคน (80% ของประชากร) และผู้ใช้ social media ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ 46 ล้านคน (67% ของประชากร) และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ คนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตมีค่าเฉลี่ยอยู่กับอินเทอร์เน็ตถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นจึงชัดเจนว่า social media จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง

ผลการศึกษาจากหลายสำนักวิจัยได้บ่งบอกถึงอินเทอร์เน็ตจะมีผลกับชีวิตประจำวันของมวลมนุษยชาติทั่วโลก เช่น ผลการศึกษาวิจัยของ Johnson Controls ในหัวข้อ Smart Workplace 2040: The Rise of the Workspace Consumer พบว่าภายในปี 2040 บ้านหรือที่พักอาศัยจะกลายเป็นสถานที่ในการเรียนและการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะอินเทอร์เน็ตจะทำให้มวลมนุษยชาติทำงานและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดและเวลาใดก็ตาม เนื่องจากการทำลายกำแพงของเวลาและช่องว่างระหว่างกัน ด้วยการเชื่อมต่อถึงกันได้ทั่วโลกจะทำให้ระยะทางและเวลาไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป

social media กำลังทำให้เกิดการพลิกผันในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคารอย่างมาก ซึ่งมากกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากธนาคารแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับบริษัทที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร เช่น Google, Facebook, Amazon และ LINE ที่กำลังคิดหาวิธีการในการชำระเงินและอื่นๆ บนสมาร์ทโฟนที่มีระบบเซ็นเซอร์ IoT โดยผ่านกระบวนการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มของพวกเขาเองโดยตรง พร้อมกับการสร้างบริษัทบริการทางการเงินรูปแบบใหม่และผลิตตำแหน่งงานที่แปลกใหม่อย่างมากมาย

Gen Z หรือ “mobile-first generation” เขาเข้าถึง Mobile Internet และ social media ตลอดเวลา ซึ่ง Gen Z มีแนวโน้มในการทำงานในอาชีพใหม่ๆ บน online platform และ social media เช่น การแอบลงทุนอย่างเงียบๆ ใน cryptocurrency, การทำงานแบบฟรีแลนซ์, การเรียนผ่านระบบ online University, การทำงานที่อิสระ (เช่น YouTuber, Influencer, game caster, professional esport player เป็นต้น) ทำให้ lifestyle และรายได้ของพวกเขามีรูปแบบที่ไม่เหมือนคนในยุค Gen X และ Babyboomers เลย

2-3 ปีที่ผ่านการเติบโตของจำนวนผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น 20% ทุกๆ ปี และมาผู้ใช้ social media ได้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านรายทุกๆ วันนับมาเป็นเวลาสองปีแล้ว โดยมีจำนวนผู้ที่เพิ่งใช้ social media เป็นครั้งแรกภายในปี 2017 ปีเดียวถึง 250 ล้านราย ซึ่งมีแนวโน้มที่จำนวนผู้ใช้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากผู้ใช้ในทวีปแอฟริกา

ประชากรทั่วโลกมีประมาณเกือบ 8 พันล้านคน และมีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถึง 5.5 พันล้านคน โดยผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะมีการซื้อขายสินค้าและทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน (Mobile-first shoppers) เกือบทั้งหมดภายในทศวรรษที่จะถึงนี้ ประกอบกับการผลิตสื่อมากกว่า 80% เป็นรูปแบบวิดีโอ ซึ่งมีแนวโน้มเนื้อหาจะต้องมีความ “สนุก” และเป็นรูปแบบ “วิดีโอสั้น” โดยมีลักษณะการเชื่อมโยงของวิดีโอสั้นดังกล่าวสู่การตัดสินใจซื้อได้โดยทันทีโดยไม่ต้องออกจาก social platform จนทำให้บริษัท social media มีรูปแบบที่เปลี่ยนไปสู่การซื้อขายสินค้าและการทำธุรกรรมทางการเงินในที่เดียวกัน ซึ่งเรียกว่าการทำธุรกิจ “social commerce”

การตลาดแบบดั้งเดิมกำลังจะไร้ผล เนื่องจากผลการศึกษาของ Nielsen ในรายงาน Global Trust in Advertising report ได้ระบุว่าคนทั่วไปไม่เชื่อการโฆษณาจากสื่อ แต่จะเชื่อการแนะนำและการคอมเม้นต์ของของเพื่อนในเครือข่าย social media มากกว่า และการศึกษาดังกล่าวยังพบด้วยว่าสื่อโฆษณาจะต้องมีความจริงและความชัดเจนตรงไปตรงมามาก เพราะคนในยุคอินเทอร์เน็ตต้องการข้อมูลที่เป็นความจริง เพราะพวกเขาสามารถเช็คข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลาแบบเรียลไทม์ ซึ่งไม่เหมือนผู้คนในอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

595959859 ผู้บริโภคทั่วโลกที่อยู่บนออนไลน์ได้ใช้เวลาประมาณหนึ่งในสามบน social media ซึ่งเมื่อผู้คนใช้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ บน social media เราก็จะพบพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมากในแต่ละปี ซึ่งแนวโน้มที่เห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ คือคนเริ่มให้ข้อมูลส่วนตัวบน social media น้อยลง แต่เสพสื่อที่เป็นวิดีโอมากขึ้นเรื่อยๆ

GlobalWebIndex ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ในรายงาน Social video report ว่า วิดีโอใน social media หรือที่เรียกว่า social video จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมเพลงและบันเทิงอย่างมาก รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของการช้อปปิ้งออนไลน์ การรับชมคอนเสิร์ต และการรับชมกีฬาผ่านสตรีมมิ่งวิดีโอบน social media ก็จะเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีแนวโน้มจะแซงหน้าการถ่ายทอดกีฬาบนโทรทัศน์แบบดั้งเดิม

Mark Zuckerberg ได้ชี้ชัดว่า การทำธุรกิจและการตลาดนับจากนี้ไปตลอดทั้ง 2-3 ปี จะใช้การสื่อสารในรูปแบบวิดีโอบน social media หรือ social video เป็นส่วนใหญ่และจะเห็นการเติบโตของการตลาดด้วยวิดีโอ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขการวิจัยของ GlobalWebindex โดย 56% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะดูวิดีโอบน Facebook, Twitter, Snapchat และ Instagram และกว่า 81% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอายุระหว่าง 55 ถึง 64 ปีจะดูวิดีโอออนไลน์ ซึ่งการทำการตลาดแบบวิดีโอยังจะทำให้ผู้ที่มีความสามารถในการอ่านน้อย สามารถเข้าถึงการให้บริการและสินค้าได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว อีกด้วย

การค้าขายออนไลน์บนโซเชียลแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Social commerce นั้นได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging market) แต่ประเทศในอเมริกาและในยุโรปกลับกลายมีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในตลาดเกิดใหม่ ผู้บริโภคที่อยู่บนออนไลน์ได้หันมาสนใจการซื้อขายออนไลน์บนสมาร์ทโฟนมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีแนวโน้มชัดว่าธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ได้ใช้บริการเปิดหน้าร้าน (digital storefronts) บน Instagram กันอย่างมากมายด้วยการใช้สื่อวิดีโอเป็นหลัก

ผลการวิเคราะห์ของ PWC จาก eCommerce in China - the future is already here พบว่า ความยิ่งใหญ่ของตลาดการค้าขายออนไลน์ในประเทศจีนกำลังจะแซงหน้ายุโรปและอเมริกาเหนือในเร็วๆนี้

[caption id="attachment_368119" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]