ระวัง!!! พืชเกษตรป่วนรัฐบาลใหม่
รอวันกดปุ่ม “ม็อบ”
การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2562 นี้ ไม่ใช่เรื่องหมู ๆ เหมือนปีหมู เพราะมีเรื่องเร่งด่วนหลายเรื่อง ที่ท้าทายการทำงาน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ที่ขณะนี้เดินไปทางไหนก็ได้ยินแต่เสียงบ่นจากกลุ่มรากหญ้าว่าข้าวของแพง ค่าใช้จ่ายพุ่ง เงินในกระเป๋าลดลง
และที่มองข้ามไม่ได้ คือการเข้ามาแก้ปัญหาราคาสินค้าพืชผลทางการเกษตร ที่เวลานี้มีพืชเกษตรหลายตัวที่ราคาไม่ขยับ จนเกษตรกรหลายกลุ่มเริ่มมีเสียงฮึ่ม! ฮึ่ม! ออกมาแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่ที่น่าจับตาหลังเลือกตั้งผ่านไปสักระยะ ทิ้งช่วงจังหวะให้รัฐบาลใหม่แสดงบทบาท เชื่อว่าหลังจากนั้น ถ้ารัฐบาลยังไม่สามารถปลดล็อกปัญหาเดิมๆได้ ! การเคลื่อนไหวของม็อบเกษตรกรเกิดขึ้นแน่ ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่งต้องลุกฮือขึ้นมา!
-5กลุ่มราคายังปลุกไม่ขึ้น
ย้อนกลับมาดูปัญหาจากภาคเกษตรกร ไล่เลียงพืชเกษตรเด่นๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวตลอดปี 2561 มีหลายตัว ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ตั้งแต่ราคา สับปะรด อ้อย ปาล์ม มะพร้าว ยางพารา แม้บางกลุ่มขยับได้บ้างเล็กน้อย แต่ชาวไร่ ชาวสวนบอกว่ายังไม่คุ้มทุน ลงทุนไปเยอะแต่ผลสะท้อนกลับยังอยู่ในภาวะขาดทุนกันเป็นแถว
ไล่ตั้งแต่ราคาสับปะรดในช่วง 11 เดือนแรกปี 2561 ราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 2.98 บาทต่อกิโลกรัม (ต่ำสุดในรอบ 10 ปี) จากที่เมื่อปี 2558 ราคาสับปะรดเคยเฉลี่ยสูงถึง 10.29 บาทต่อกิโลกรัม เป็นช่วงราคาที่สูงสุด ซึ่งในขณะนั้นพอราคาดีเป็นที่จูงใจ เกษตรกรก็แห่ปลูกกันพรึ่บ! โดยไม่มีการวางแผนการตลาดที่ดี ปีนี้คาดว่าผลผลิตสับปะรดจะมีปริมาณออกมามากถึง 2.1 ล้านตัน ขณะที่การส่งออกสับปะรดกระป๋อง ไทยยังมีคู่แข่งสำคัญ คือ ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ที่มีผลผลิตสับปะรดมาก จนทำให้มีการแข่งขันด้านราคาสูง และ 2 ประเทศดังกล่าวก็ยังได้เปรียบไทยตรงที่ได้รับสิทธิจีเอสพีจากสหรัฐฯด้วย
ขณะที่ราคามะพร้าว ก่อนหน้านี้รัฐบาลห้ามนำเข้า “มะพร้าว” จากอินโดนีเซีย แต่ก็ยังเปิดให้นำเข้ามะพร้าวจากเวียดนามและมาเลเซีย บวกกับผลผลิตมะพร้าวภายในประเทศดีขึ้น จนมะพร้าวล้นตลาด ทำให้ราคาในประเทศร่วงกราวรูด เหลือลูกละ 4-5 บาท จนล่าสุดขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6-7 บาทต่อลูก จากที่ก่อนหน้านี้ราคามะพร้าวเคยสูงถึงลูกละ 12-14 บาท ทำให้บรรดาชาวสวนมะพร้าวออกมากดดันกระทรวงที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นระยะ
-กลุ่มปาล์มขู่“ม็อบมาแน่ หลังเลือกตั้ง”
ด้านราคาปาล์ม เป็นอีกกลุ่ม ที่ผลผลิตในประเทศล้น และไทยก็ยังเน้นที่ตลาดในประเทศเป็นหลัก จนวันนี้ราคาร่วงลงมาที่ 2.50-3 บาทต่อกิโลกรัม หรือราคาเฉลี่ยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.15 บาทต่อกิโลกรัม จากที่ราคาเคยสูง 4-5 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อปี 2555 จนถึงขณะนี้ราคาปาล์มยังต่ำติดดิน ขณะที่ราคาในตลาดโลกก็ไม่ดี
การแก้ปัญหาปาล์มราคาตกต่ำ แม้ว่าภาครัฐพยายามหาทางออก หลังจากมีมติออกมาให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.)รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ(CPO)ส่วนเกินจำนวน 160,000 ตัน ในราคากิโลกรัม (กก.) ละ 18 บาท เมื่อคำนวณกลับไปเป็นราคาผลปาล์มที่ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ในเปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% ขณะที่ราคาผลปาล์ม ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2561 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.60-2.70 บาทต่อกิโลกรัม จนถึงขณะนี้ก็มีแต่มาตรการแต่ยังไม่มีการปฎิบัติ ได้จริง
งานนี้ทำเอา นายชโยดม สุวรรณวัฒนะ ประธานชมรมคนปลูกปาล์มน้ำมัน จังหวัดกระบี่ ถึงกับออกมาขู่คำโตว่า “ม็อบมาแน่ หลังเลือกตั้ง วันนี้ต้องยอมกัดฟันทน เพราะไม่อยากตกเป็นแพะของรัฐบาล เดี๋ยวจะมาอ้างภายหลังว่าเป็นเพราะม็อบทำให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไป” จากคำขู่นี้มีลุ้นยังต้องติดตามต่อไปหลังเลือกตั้ง
สำหรับยางพาราที่ราคานิ่งมาต่อเนื่อง ในช่วง 11 เดือนแรกปี 2561 ยางแผ่นดิบชั้น 3ที่นิยมซื้อขายกัน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 41.52 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาเฉลี่ยเคยสูงสุดเมื่อปี 2554 อยู่ที่ 124.16 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะนั้นบางเดือนราคายางพาราก็สูงถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม จนมีข่าวชาวสวนยางภาคใต้ถอยรถกะบะป้ายแดงกันเป็นแถว
ที่น่าหนักใจคือ 2 ปีมานี้ ผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่การใช้ยางภายในประเทศยังไม่ถึง 20% ไทยยังพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 90% จากที่ผลผลิตยางพาราไทยเฉลี่ยตกปีละกว่า 4 ล้านตันต่อปี เจอทั้งผลผลิตล้นตลาด ราคายางในตลาดโลกร่วง อีกทั้ง จีนผู้นำเข้ารายใหญ่สู้ศึกสงครามการค้ากับอเมริกา ทำให้ผลิตภัณฑ์ยางส่งออกไปอเมริกาลดลง จีนจึงต้องลดการนำเข้ายางจากไทยไปด้วย
-ต้องลุ้นราคาอ้อยขั้นสุดท้าย
ส่วนพืชการเมืองอย่างอ้อย ที่บรรดานักการเมืองมักลงพื้นที่หาเสียงกับชาวไร่อ้อยก่อนเลือกตั้ง หวังเรียกคะแนนเสียงจากชาวไร่อ้อยทั่วประเทศ ที่ราคาอ้อยก็ยังมีความเสี่ยง ตราบใดที่ราคาน้ำตาลดิบในตลาดโลกร่วง ย่อมสะเทือนถึงเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพราะราคาจะรูดลงตามกันเป็นลูกโซ่ อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ มาจากปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกันหลายส่วน
ราคาน้ำตาลดิบปีนี้เคลื่อนไหวตั้งแต่ 11-13 เซ็นต์ต่อปอนด์ จนวงการหวั่นวิตกว่าจะดิ่งหลุดกรอบ 10 เซ็นต์ต่อปอนด์ แต่ปลายปี2561 ราคาน้ำตลาดดิบในตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ที่ 12.4 เซ็นต์ต่อปอนด์ ยังถือว่าอยู่ในแดนของราคาขาลง ทำให้ราคาอ้อยขั้นต้นปี 2561/2562 ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ร่วงมาอยู่ที่ 700 บาทต่อตันอ้อย เทียบกับราคาอ้อยในช่วง2ปีที่ผ่านมา สูงกว่าระดับ 1,000 บาทต่อตันอ้อย หากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายที่จะประกาศออกมาช่วงปลายปี 2562 ร่วงลงอีก ก็น่าจับตาปฏิกิริยาชาวไร่อ้อยหนนี้
ประเมินสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนว่า ต้นเหตุราคาน้ำตาลร่วงกระทบราคาอ้อย มาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ที่มีปริมาณ นํ้าตาลโลกส่วนเกินล้นติดต่อกัน 2 ปี ทำให้เกิดผลผลิตนํ้าตาลมากกว่าความต้องการใช้ ที่ก่อนหน้านี้ F.O.licht บริษัทวิจัยในเยอรมนี ออกมาระบุว่า ช่วง 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2561 มีปริมาณนํ้าตาลในสต๊อกโลกที่เป็นส่วนเกินอยู่จำนวน 7.2 ล้านตันนํ้าตาล นับว่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี และมีแนวโน้มว่าในฤดูการผลิตปี 2561/2562 จะมีสถิตินํ้าตาลโลกเกินต่อเนื่องอีก
นอกจากนี้เมื่อดูความเคลื่อนไหวของค่าเงินเรียล ของบราซิล เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าค่าเงินเรียลอ่อนค่าลงจะทำให้บราซิลขายนํ้าตาลออกมามากขึ้น ทำให้ราคานํ้าตาลตกลง ซึ่งการที่ราคานํ้าตาลในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 10-11 เซ็นต์ต่อปอนด์ นับว่าเป็นราคาที่ตํ่ากว่าต้นทุน ปี 2562 ก็ยังต้องจับตาดูค่าเงินเรียลเป็นระยะเพราะบราซิลเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับ 1ของโลกและต้องติดตามว่าบราซิลจะนำน้ำอ้อยไปผลิตน้ำตาลหรือเอทานอลเป็นหลัก
ขณะที่รัฐบาลอินเดียก็ออกมาประกาศชัดเจนว่า จะอุดหนุนการส่งออกน้ำตาลในประเทศของตัวเองด้วยการส่งออกนํ้าตาลทราย จํานวน 5 ล้านตัน และอนุมัติงบช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยและชดเชยค่าขนส่งนํ้าตาลจากโรงงานไปยังท่าเรือส่งออก ทั้งที่ขัดกับข้อตกลง WTO และเป็นการบิดเบือนตลาดนํ้าตาลโลก อีกทั้งการเคลื่อนไหว ของกองทุนและนักเก็งกำไรที่ถือตั๋วขายนํ้าตาลที่มีผลต่อราคานํ้าตาลในตลาดโลกด้วย
ปัญหา สินค้าเกษตร5 กลุ่มตกต่ำ ยังไม่รวมปัญหาราคา “มันสำปะหลัง” เริ่มเคลื่อนไหวหลังราคาร่วงมาอยู่ที่ 2.50 บาท แต่เกษตรกรขายได้จริงในราคาที่ต่ำกว่านั้น อีกทั้งปัญหา “ประมง” ที่รอวันปะทุใหม่
ภารกิจของรัฐบาลหลังเลือกตั้งบอกได้เลยว่าเหนื่อย! ลำพังวิ่งรับมือกับสงครามการค้าลามสู่วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ยากอยู่แล้ว การแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรก็จะเป็นอีกโจทย์ยากที่ต้องรับมืออย่างเร่งด่วน หากปล่อยให้เวลาลากยาวต่อไปโดยผลงานไม่ปรากฏ ก็ต้องผวากับขบวนม็อบที่รอวันกดปุ่มขับเคลื่อน ต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐจะมีทางออกอย่างไร กับปัญหาเดิมๆที่วนเวียนกลับมาอีก!