3 พรรคประชันแก้เศรษฐกิจ เพิ่มรายได้-กระจายอำนาจ-แก้เหลื่อมล้ำ

24 ธ.ค. 2561 | 13:45 น.
 

3-พรรค-02 งาน Dinner Talk : Go Thailand โอกาสประเทศไทย 2019 ซึ่งจัดโดย “ฐานเศรษฐกิจ” ได้เชิญ 3 ตัวแทนพรรคการเมืองใหญ่ มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ “นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมือง” ประกอบด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.)

พปชร.ชูเทคโนฯแก้เหลื่อมลํ้า

นายสนธิรัตน์ กล่าวถึงนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ 3 ประการ คือ ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เป็น regional connectivity และเป็นศูนย์กลางของอาเซียน สานต่อเรื่องอีอีซี เพราะเป็น magnet สำคัญ ยกระดับประเทศในสิ่งที่เป็นจุดแข็งให้มีความสามารถทางการแข่งขันให้มากที่สุด โดยเฉพาะธุรกิจบริการ เช่น เรื่องของการท่องเที่ยวให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

2. ลดความเหลื่อมลํ้าทางเศรษฐกิจด้วยดิจิตอล เช่น เปลี่ยนร้านโชวห่วยให้กลายเป็นที่รองรับของชุมชน เป็นศูนย์รวบ รวมสินค้าในชุมชนโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งทางพรรคพร้อมแล้วที่จะเสนอและส่งเสริมแนวคิดนี้

3. การเกษตรยั่งยืนโดยใช้การตลาดนำการผลิต ใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อกำหนดพื้นที่และปริมาณการปลูกให้สอดรับกับความต้องการของตลาด มี “กองทุนเกษตรกรรม” เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร และสร้างเกษตรฟาร์เมอร์เป็นต้น

ทั้งนี้ นายสนธิรัตน์ เชื่อมั่นว่า การใช้ดิจิตอล (AI) มาวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data) แล้วทำให้เกิด Implementation จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ตรงกลุ่มและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
TO__1486 ปชป.เน้นกระจายอำนาจ

ด้านนายกรณ์ ระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจยังไม่อาจเปิดเผยได้ อย่างไรก็ดี นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ได้มีการจัดลำดับไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ โดยได้ประกาศนโยบายเรื่องของการศึกษาเพื่อพัฒนาคนไปก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับพรรคประชาธิปัตย์จะทำนโยบายที่ต้องสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของประเทศและของโลก ต้องตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นใน 3 เรื่อง คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

ทั้งนี้ หากให้ขับเคลื่อนนโยบายที่ต้องการทำให้เกิดขึ้น ซึ่งวันนี้เศรษฐกิจของประเทศมีลักษณะที่ว่า “โตช้า โตกระจุก” ถ้าให้เลือกเพียงนโยบายเดียวที่จะนำมาทำ คือ “การกระจาย อำนาจให้กับประชาชน” โดยเริ่มจากการบริหารราชการ ให้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการตัวเองในทุกๆ มิติ ทั้งในเรื่องของการบริหารและงบประมาณ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของตนเอง

[caption id="attachment_365443" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]

พท.ดันลดรายจ่ายเพิ่มรายได้

ขณะที่นายกิตติรัตน์ ระบุว่า 3 นโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทย คือ 1. ปรับโครงสร้างระบบการบริหารจัดการของรัฐให้ทำงานได้อย่างบูรณาการ 2. รัฐบาลสามารถจัดสรรประโยชน์และทรัพยากรต่างๆ ระหว่างรัฐ เอกชนรายใหญ่ ขนาดกลางและรายย่อย รวมถึงประชาชนได้อย่างเหมาะสม 3. ปลดปล่อยพันธนาการที่เป็นอุปสรรคในการแข่งขันให้ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่โอกาสทางการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน

นายกิตติรัตน์ เน้นยํ้าว่า หลักคิดของพรรคที่ให้ความสำคัญมาต่อเนื่อง คือ เรื่องของการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส โดยเรื่องแรกที่ต้องให้ความสำคัญก่อน คือ เรื่องของ “การลดรายจ่าย” ที่เคยทำและประสบความสำเร็จมาแล้ว ด้วยการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปีแรก และลดเหลือ 20% ในปีถัดไป

กรณ์ทบทวนเงินรถไฟเร็วสูง

เมื่อถามว่าถ้าพรรคมาเป็นแกนนำในการบริหารประเทศ จะรื้อนโยบายหลักที่รัฐบาลเดิม หรือ “รัฐบาลประยุทธ์” ทำไว้เดิมหรือไม่ อาทิ นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) กำลังจะกลายเป็นหัวใจการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ

นายกรณ์ ตอบว่า มีบางโครงการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมีวิธีการดูแลประชาชนที่แตกต่างกัน เช่น กรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ควรจำกัดการใช้เงิน แม้รัฐจะมีเจตนาต้องการให้ประชาชนได้ใช้เงินถูกที่ถูกทาง แต่สุดท้ายทำให้เศรษฐกิจระดับชุมชนไม่กระเตื้องเท่าที่ควร เพราะมีการบังคับให้ใช้บัตรตามร้านที่อยู่ไกล ไม่สะดวกในการเดินทาง ประเภทสินค้าก็จำกัด มีการโก่งราคา ประชาชนอาจไม่ได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่ควรได้รับ

วิธีการให้เงินของพรรค ปชป. จะไม่ให้แบบเฉพาะกิจ เรื่องใดที่ควรจะช่วยเหลือประชาชนต้องพิจารณาว่า ควรเป็นสิทธิถาวร หรือสิทธิถ้วนหน้าหรือไม่ คือจะใช้วิธีรัฐสวัสดิการ

ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ ได้ตกผลึกมาหลายรัฐบาลแล้ว อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง ได้อนุมัติครั้งแรกใน “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต่อมา “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” พยายามสานต่อ และมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามากำหนดว่าโครงการจะเกิดหรือไม่เกิด เรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สถานี พรรคก็เห็นด้วยที่จะสานต่อ และเป็นจุดยืน ปชป.แต่แรกตั้งแต่อนุมัติโครงการ เพราะ มองว่าต้องเป็นโครงการที่เชื่อมโยงกับจีนและเป็นโครงการที่ไทยกับจีนได้ประโยชน์เท่ากัน ต้องใส่เงินทั้ง 2 ฝ่าย เพราะได้ประโยชน์ทั้งคู่ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสภา ต่อมาได้ไปเจรจากับรัฐบาลจีน

แต่มารัฐบาลปัจจุบัน ฝ่ายไทยออกเงินทุกบาท และเป็นเงินกู้ แนวโน้มจะเป็นโครงการที่ขาดทุน เป็นภาระต่องบประมาณที่ไม่ใช่แค่การก่อสร้าง แต่เป็นภาระต่อการชดเชยการขาดทุนในอนาคตด้วย ซึ่งไทยต้องรับภาระแต่ผู้เดียวทั้งๆ ที่ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่ได้รับ ถ้ามีโอกาสควรทบทวน
TO__1661 พท.ไม่หนุนรถไฟเร็วสูง

ด้านนายกิตติรัตน์ ตอบคำถามเรื่องนี้ว่า กรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถ้าต้องคงอยู่ ถ้ามีความจำเป็นต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้ว ก็คงต้องทำต่อไป และต้องทำให้ผู้ถือบัตรลดลง ซึ่งจะสะท้อนถึงการบริหารงานของรัฐบาล

ส่วนรถไฟเชื่อม 3 สนาม บิน ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนการคมนาคมขนส่งที่เป็นรางความเร็วไปเชื่อมสนามบิน ถ้าเชื่อมสนามบินกับเมืองน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า เพราะรอบสนามบินต้องควบคุมความสูงและสภาวะทางเสียง

พปชร.สานต่อบัตรสวัสดิการ


ขณะที่นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคจะดูนโยบายเดิมของรัฐบาลปัจจุบันที่จะเป็นประโยชน์ในระยะยาว เช่น นโยบายบัตรสวัสดิการ เป็นการลงไปดูรากฐานของสวัสดิการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เช่น มีรายได้ตํ่ากว่า 3 หมื่นบาท/ปี ต้องแยกกลุ่มที่ต้องสงเคราะห์ อาทิ ผู้สูงอายุ ต้องตอบโจทย์ความต้องการของเขา ส่วนผู้มีรายได้น้อยจะให้บนเงื่อนไขเฉลี่ยที่ควรจะให้ ไม่ใช่ให้ทุกคน

ส่วนเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หัวใจของเรื่องนี้อยู่ที่อีอีซี ไม่ได้อยู่ที่การขนส่งผู้โดยสารบนสนามบิน แต่เป็นการเชื่อมโยงอีอีซีไปยังแอร์พอร์ตใหญ่ที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนล ย้อนไปสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด แต่เครื่องยนต์ตัวนี้เริ่มแผ่ว ลงไปเรื่อยๆ อีอีซีจึงเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่ขับเคลื่อนประเทศต่อ จึงมีความสำคัญในการเชื่อมต่อ

และถ้าได้เป็นรัฐบาล จะเชื่อมอีสต์เวสต์ กับทวาย ตรงนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทยอย่างแท้จริง แต่ต้องเริ่มให้อีอีซีเป็นรูปธรรมก่อน ถ้านักลงทุนไม่ให้ความสนใจอีอีซี ประเทศไทยไม่ได้เป็นแม่เหล็กอีกต่อไป

| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3429 หน้า 14 ระหว่างวันที่ 23-26 ธ.ค.2561
595959859