ซีอีโอ "วี.เอ็ม.พี.ซี." ลุ้นปีหน้า! "เสถียรภาพการเมือง-ต่างชาติย้ายฐานผลิตเข้าไทย"

21 ธ.ค. 2561 | 11:02 น.
"ซีอีโอ VMPC" วิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2562 เสี่ยงสูงจากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น หนี้เสีย-มาตรการคุมเข้มปล่อยกู้ซื้อบ้าน ลุ้นอานิสงส์สหรัฐฯ ประกาศสงครามการค้ากับจีน หนุนต่างชาติย้ายฐานผลิตจากจีนเข้าไทย – จับตาเสถียรภาพการเมืองไทยหลังเลือกตั้ง โชว์แกร่ง VMPC ยืนหยัดท่ามกลางตลาดซบด้วยธุรกิจ 2 ขา ทั้งอสังหาฯ เพื่อขายและให้เช่า พร้อมเดินหน้าแกรนด์โอเพนนิ่ง "โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนท์ ศรีราชา" เดือน ม.ค. 2562 รองรับดีมานด์อสังหาฯ โซน EEC โตต่อเนื่อง

K.Prinya1
นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด (VMPC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขายและให้เช่า เปิดเผยว่า ในปี 2562 เศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ในขณะที่ อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน มาตรการคุมเข้มปล่อยกู้ซื้อบ้าน ในขณะที่ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ หนี้เสีย (NPL)  ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังอยู่ในอัตราค่อนข้างสูง โดยอยู่ที่ระดับประมาณ 4% และยังไม่เห็นสัญญาณบวกที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกจากภาวะเศรษฐกิจโลก กรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้บริษัทหลายแห่งที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ต้องย้ายฐานการผลิตจากจีน ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวและอาจจะกระทบการท่องเที่ยวและภาพรวมเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทหลายแห่งต้องย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการประกาศเก็บภาษีสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ กับอีกหลาย ๆ ประเทศ อาจทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนมายังประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการผลิตสินค้าให้สามารถส่งออกสินค้าได้ตามปกติ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชียที่มีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเหมาะสม มีระบบสาธารณูปโภคและคมนาคมขนส่งที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน ซึ่งจะเป็นแรงดึงดูดให้จีนและประเทศอื่น ๆ เข้ามาขยายฐานการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เริ่มมีความชัดเจนด้านการลงทุนต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน

"ตอนนี้ผมเห็นปัจจัยบวกเรื่องเดียวที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย นั่นก็คือ การย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการย้ายฐานการผลิตเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ดังนั้น สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยแบบถาวร ส่วนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง เพราะมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งหากการเมืองมีเสถียรภาพก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจขยายการลงทุน ทั้งนักธุรกิจไทยและต่างชาติ ประชาชนจะกลับมาใช้จ่าย ลงทุน และบริโภค แต่หากเลือกตั้งแล้วการเมืองไม่นิ่ง ก็จะทำให้มีการชะลอการลงทุน หรือ เลี่ยงไปลงทุนในประเทศอื่นในแถบเอเชียแทน" นายปริญญา กล่าว


K.Prinya3

นายปริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริษัทฯ ยังคงยึดหลักการดำเนินธุรกิจโดยการบริหารอสังหาริมทรัพย์แบบ 2 ขา โฟกัสทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและให้เช่า ซึ่งถือเป็นการบริหารและกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวน โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 60% และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 40%


แอดฐานฯ

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ล่าสุด คือ "โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนท์ ศรีราชา" โรงแรมระดับ 5 ดาว สูง 48 ชั้น บนเนื้อที่ 12 ไร่ ใจกลาง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ "Modern Oriental Style" ตัวอาคารประกอบด้วย อาทาระ ทาวเวอร์ A, อาทาระ ทาวเวอร์ B และอาทาระมอลล์ เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2558 และเริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ต้นปี 2560 และได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันถือเป็นโรงแรมที่มีจำนวนผู้เข้าพักมากที่สุดของศรีราชา ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 19 ม.ค. 2562 โดยมองว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โซนภาคตะวันออกยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและมีระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์


บาร์ไลน์ฐาน

ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย บริษัทฯ เน้นเจาะตลาดระดับบนหรือกลุ่มไฮเอนด์ โดยแต่ละโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนสายหลัก อาทิ โครงการ "แอสเทรา ไพรด์ พระราม 2" บ้านเดี่ยวขนาด 3 ชั้น สไตล์ "Modern Style New Fangled Loft" พร้อมฟังก์ชันการใช้สอยครบครันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต้นถนนพระราม 2 ติดถนนใหญ่ ราคายูนิตละ 35–50 ล้านบาท เนื้อที่โครงการประมาณ 12 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 1,400 ล้านบาท โดยล่าสุด ได้เปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่และได้รับการตอบรับที่ดีมาก นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาโครงการ "แอสเทรา เบลส" ทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง ติดถนนพระราม 2 กม.5 ราคายูนิตละ 8.49–9.89 ล้านบาท พื้นที่โครงการประมาณ 28 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 2,100 ล้านบาท ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ "ทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ที่ไม่เหมือนใคร" เน้นความหรูหราในสไตล์โมเดิร์น ด้วยจุดเด่น "Free Space Design" ดีไซน์ทุกพื้นที่ภายในบ้านให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยโครงการดังกล่าวได้เปิดขายไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และเริ่มเปิดขายเฟสที่ 2 และทยอยโอนกรรมสิทธ์ในปี 2561

595959859