สู่ฝัน "มหานครการบิน" !! อีอีซีเล็งรวมพล 600 บริษัท 30 กม.รอบ 'อู่ตะเภา'
อีอีซีเตรียมแผนพัฒนาพื้นที่ 30 กิโลมตรรอบสนามบินอู่ตะเภา เล็งโรดโชว์ดึง 600 บริษัท ลงทุนสัตหีบ-บ้านฉาง-บางสะเหร่-จอมเทียน ปั้นเป็นมหานครการบิน ทั้งวางมาตรฐานการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาต้องเทียบเท่าสนามบินอินชอน-ชางงี คาด มี.ค. นี้ ได้ตัวผู้ชนะการประกวดราคาลงทุนสนามบิน ค่า 2.7 แสนล้านบาท
สำนักงานคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จัดสัมมนา "ความก้าวหน้าของโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก" เพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการฯ มีกลุ่มนักลงทุน ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมกว่า 200 คน
พล.ร.ต.เกริกไชย วจนาภรณ์ รองปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าวว่า หลังจากมีเอกชน 42 บริษัท จาก 8 ประเทศ สนใจซื้อซองประกวดราคาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และในวันที่ 28 ก.พ. 2562 จะเปิดให้เอกชนยื่นซองประมูล ใช้เวลาพิจารณา 1 เดือน โดยเดือน มี.ค. 2562 จะได้เอกชนผู้ชนะการประมูล จากนั้นเอกชนจะลงสำรวจพื้นที่และเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2563 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปลายปี 2566 และเปิดให้บริการได้ในต้นปี 2567 สำหรับโครงการดังกล่าวมีพื้นที่เขตส่งเสริมการบิน 6,500 ไร่ มูลค่าการลงทุน 2.72 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือยินดีเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในการดำเนินการ ยืนยันว่าจะทำด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยเอกชนที่ชนะการประมูลจะต้องร่วมลงนามข้อตกลงคุณธรรมด้วย
ด้าน ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวว่า อีก 5 ปี จะได้เห็นภาพสนามบินอู่ตะเภาที่ทันสมัยไม่น้อยหน้าสนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ และสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ ภายในอาคารผู้โดยสารต้องมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้กับการบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร เช่น การนำระบบสแกนใบหน้ามาใช้ตรวจคนเข้าเมืองแทนการตรวจด้วยเอกสาร
ดร.คณิศ กล่าวต่อว่า นอกจากพัฒนาพื้นที่ 6,500 ไร่ ในสนามบินอู่ตะเภา ทางอีอีซียังเตรียมจะพัฒนาพื้นที่ 30 กิโลเมตร ให้เป็นมหานครการบิน ที่ต้องมีความทันสมัยและน่าอยู่ จะไม่ใช่แค่การมีสนามบินเท่านั้น ต้องมีระบบขนส่งอื่น ๆ ทั้งถนน ท่าเรือ รถไฟ เชื่อมโยงกันและเชื่อมเข้าสู่สำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล แหล่งความบันเทิง และบ้านพักอาศัยที่อยู่รอบสนามบินได้อย่างสะดวก
อย่างไรก็ตาม เวลานี้กรมโยธาธิการอยู่ระหว่างวางผังเมืองใหม่บริเวณรอบสนามบินอู่ตะเภา และอีอีซีกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทเมืองมหานครการบิน ซึ่งแผนจะแล้วเสร็จกลางปีหน้า โดยระยะแรกภายใน 5 ปีแรก จะพัฒนาเมืองในเขต 10 กิโลเมตร (กม.) รอบสนามบิน ได้แก่ สัตหีบ บางสะเหร่ จอมเทียน จ.ชลบุรี และบ้านฉาง จ.ระยอง ส่วน 5-10 ปี จะพัฒนาเมืองในเขต 30 กิโลเมตรรอบสนามบิน จากเมืองพัทยาถึงเมืองระยองให้เป็นเขตพัฒนาเดียวกัน และ 10-15 ปี จะเป็นการพัฒนาเมืองในเขต 60 กิโลเมตรรอบสนามบิน
รวมถึงต่อไปจะมีการเชิญชวนบริษัทจากต่างประเทศกว่า 600 ราย เข้าลงทุนธุรกิจในมหานครการบินต่อไป ซึ่งยังมีพื้นที่วางเปล่ากว่า 2.8 หมื่นไร่ ของ 6-7 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่ยังไม่ได้มีการพัฒนา ซึ่งสามารถดึงมาลงทุนในพื้นที่เหล่านี้ได้
Dr.John D. Kasarda ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนามหานครการบินระดับโลก กล่าวว่า การพัฒนามหานครการบินภายในรัศมี 30 กิโลเมตรรอบสนามบิน สามารถถึงกิจกรรมมาลงทุนได้ในหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่ต่อเนื่องกับเครื่องบิน ธุรกิจยา แฟชั่น ชิ้นส่วนอากาศยาน อี-คอมเมิร์ซ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเกิดมหานครการบิน ที่จะเริ่มเห็นภายในอีก 5-20 ปีข้างหน้านี้ และความสำคัญของมหานครการบิน คือ การเชื่อมโยงระบบการขนส่งทั้งเครื่องบิน ระบบราง ถนน อย่างไร้รอยต่อ
สำนักงานคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จัดสัมมนา "ความก้าวหน้าของโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก" เพื่อรายงานความก้าวหน้าของโครงการฯ มีกลุ่มนักลงทุน ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมกว่า 200 คน
พล.ร.ต.เกริกไชย วจนาภรณ์ รองปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าวว่า หลังจากมีเอกชน 42 บริษัท จาก 8 ประเทศ สนใจซื้อซองประกวดราคาโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และในวันที่ 28 ก.พ. 2562 จะเปิดให้เอกชนยื่นซองประมูล ใช้เวลาพิจารณา 1 เดือน โดยเดือน มี.ค. 2562 จะได้เอกชนผู้ชนะการประมูล จากนั้นเอกชนจะลงสำรวจพื้นที่และเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2563 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จปลายปี 2566 และเปิดให้บริการได้ในต้นปี 2567 สำหรับโครงการดังกล่าวมีพื้นที่เขตส่งเสริมการบิน 6,500 ไร่ มูลค่าการลงทุน 2.72 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือยินดีเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในการดำเนินการ ยืนยันว่าจะทำด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยเอกชนที่ชนะการประมูลจะต้องร่วมลงนามข้อตกลงคุณธรรมด้วย
ด้าน ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวว่า อีก 5 ปี จะได้เห็นภาพสนามบินอู่ตะเภาที่ทันสมัยไม่น้อยหน้าสนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ และสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ ภายในอาคารผู้โดยสารต้องมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้กับการบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร เช่น การนำระบบสแกนใบหน้ามาใช้ตรวจคนเข้าเมืองแทนการตรวจด้วยเอกสาร
ดร.คณิศ กล่าวต่อว่า นอกจากพัฒนาพื้นที่ 6,500 ไร่ ในสนามบินอู่ตะเภา ทางอีอีซียังเตรียมจะพัฒนาพื้นที่ 30 กิโลเมตร ให้เป็นมหานครการบิน ที่ต้องมีความทันสมัยและน่าอยู่ จะไม่ใช่แค่การมีสนามบินเท่านั้น ต้องมีระบบขนส่งอื่น ๆ ทั้งถนน ท่าเรือ รถไฟ เชื่อมโยงกันและเชื่อมเข้าสู่สำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล แหล่งความบันเทิง และบ้านพักอาศัยที่อยู่รอบสนามบินได้อย่างสะดวก
อย่างไรก็ตาม เวลานี้กรมโยธาธิการอยู่ระหว่างวางผังเมืองใหม่บริเวณรอบสนามบินอู่ตะเภา และอีอีซีกำลังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทเมืองมหานครการบิน ซึ่งแผนจะแล้วเสร็จกลางปีหน้า โดยระยะแรกภายใน 5 ปีแรก จะพัฒนาเมืองในเขต 10 กิโลเมตร (กม.) รอบสนามบิน ได้แก่ สัตหีบ บางสะเหร่ จอมเทียน จ.ชลบุรี และบ้านฉาง จ.ระยอง ส่วน 5-10 ปี จะพัฒนาเมืองในเขต 30 กิโลเมตรรอบสนามบิน จากเมืองพัทยาถึงเมืองระยองให้เป็นเขตพัฒนาเดียวกัน และ 10-15 ปี จะเป็นการพัฒนาเมืองในเขต 60 กิโลเมตรรอบสนามบิน
รวมถึงต่อไปจะมีการเชิญชวนบริษัทจากต่างประเทศกว่า 600 ราย เข้าลงทุนธุรกิจในมหานครการบินต่อไป ซึ่งยังมีพื้นที่วางเปล่ากว่า 2.8 หมื่นไร่ ของ 6-7 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่ยังไม่ได้มีการพัฒนา ซึ่งสามารถดึงมาลงทุนในพื้นที่เหล่านี้ได้
Dr.John D. Kasarda ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนามหานครการบินระดับโลก กล่าวว่า การพัฒนามหานครการบินภายในรัศมี 30 กิโลเมตรรอบสนามบิน สามารถถึงกิจกรรมมาลงทุนได้ในหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่ต่อเนื่องกับเครื่องบิน ธุรกิจยา แฟชั่น ชิ้นส่วนอากาศยาน อี-คอมเมิร์ซ เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเกิดมหานครการบิน ที่จะเริ่มเห็นภายในอีก 5-20 ปีข้างหน้านี้ และความสำคัญของมหานครการบิน คือ การเชื่อมโยงระบบการขนส่งทั้งเครื่องบิน ระบบราง ถนน อย่างไร้รอยต่อ
